1 ก.ค. 2560

กินมังสวิรัตินานเท่าไรจึงจะเป็นคนร่างใหม่



        มีนักมังสวิรัติเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่กินมังสวิรัติมาตั้งแต่แรกเกิด ในขณะที่นักมังสวิรัติส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมาเป็นคนที่กินมังสวิรัติในภายหลัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะต้องกินมังสวิรัติเป็นเวลานานเท่าใดร่างกายทั้งหมดจึงจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้

        เม็ดเลือดแดงในตัวเราถูกสร้างมาจากไขกระดูก เม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์นั้นเมื่อถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดแล้วจะมีอายุใช้งานประมาณ ๑๒๐ วันจึงจะถูกสลายไป ดังนั้น ในเวลาประมาณ ๔ เดือนนับจากวันที่เราเริ่มกินอาหารมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง เลือดในร่างกายของเราจะเปลี่ยนเป็นเลือดชุดใหม่ทั้งหมด ในเลือดจะปลอดจากองค์ประกอบของสัตว์โดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็น "เลือดเจ"

        ในการสร้างเซลล์ใหม่ของร่างกาย รอบของการผลัดเปลี่ยนเนื้อกระดูกกินเวลาค่อนข้างยาวนาน ต้องใช้เวลาประมาณ ๗ ถึง ๑๐ ปี ดังนั้น หลังจากที่เริ่มกินมังสวิรัติแล้ว อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๗ ปีจึงจะผลัดเปลี่ยนกระดูกทั้งร่างได้หมด และกลายเป็นร่างของ "มนุษย์เจ" 

... ... ...

        สัตว์จำพวกวัว แพะ กระต่าย ฯลฯ เป็นสัตว์ที่กินพืชอย่างเดียว เป็นสัตว์ที่ไม่ดุร้าย ไม่ซับซ้อนเหมือนคน และคนที่ไม่ได้เป็นนักมังสวิรัติหลายคนมักจะเยาะหยันชาวมังสวิรัติอยู่บ่อย ๆ ว่า "เจที่ปากแต่เจไม่ถึงใจ" หมายความว่าพฤติกรรมกับความคิดไม่สอดคล้องกัน เพราะยังกินเนื้อสัตว์เทียมประเภทเนื้อเจ ไก่เจ ปลาเจอยู่ แสดงว่าในใจยังคงติดเนื้อสัตว์อยู่

        วัวหรือแพะกินแต่พืชกับนักมังสวิรัติกินแต่ผัก ด้านกายภาพอาจจะคล้าย ๆ กัน แต่ลึก ๆ แล้วมีความแตกต่างกันอย่างมาก สมองของสัตว์ที่กินพืชยังไม่พัฒนาเท่าสมองมนุษย์ มีความฉลาดน้อยกว่ามนุษย์มาก โครงสร้างของร่างกายของพวกมันเป็นสัตว์กินพืชโดยธรรมชาติ ถ้ามันถูกบังคับให้กินอาหารที่มีองค์ประกอบของสัตว์อยู่ด้วย มันก็จะติดเชื้อและเป็นโรควัวบ้าได้ง่าย ดังนั้น วัวหรือแพะที่กินแต่พืชก็เป็นมังสวิรัติโดยบังคับ มันไม่มีสิทธิ์เลือกเป็นอย่างอื่น

        แต่มนุษย์นั้นมีความฉลาดกว่า คนที่เป็นนักมังสวิรัตินั้นรู้และเข้าใจทางเลือกของตนเองอย่างแจ่มแจ้ง แล้วเลือกแนวทางชีวิตที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับตนเอง ไม่กระทบเสรีภาพของผู้อื่น เคารพชีวิตสัตว์อื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับมนุษยชาติ ละเลิกจากอาหารรสอร่อยที่คนทั่วไปชอบ เป็นเหตุผลที่ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่า สามารถใช้อิสรภาพในการเลือกกำหนดชีวิตของตนเองอย่างเต็มที่

        จิตวิญญาณของนักมังสวิรัตินั้น พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือไม่ชอบความรุนแรงและรักสันติภาพ การมีจิตใจดีหรือไม่ดีย่อมมีผลหลายอย่าง อันดับแรกคือมีผลต่อตนเอง และมีผลต่อคนรอบข้าง ยิ่งมีฐานะตำแหน่งสูงก็ยิ่งมีผลมาก มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากเลย ถ้าตัวเรามีความสุข คนรอบข้างก็จะรู้สึกได้ถึงความสุขนั้นด้วย ถ้าเราเป็นทุกข์ คนรอบข้างก็ไม่สามารถสบายใจได้ เวลาที่เราโกรธ คนรอบข้างก็จะรู้สึกกลัว ผู้นำประเทศมหาอำนาจเพียงคนเดียวที่มีความโกรธก็สามารถก่อสงครามทำลายล้างมนุษยชาติได้ การเป็นมังสวิรัติเฉพาะเรื่องการกินที่ปากเท่านั้น ก็เป็นประโยชน์อยู่แค่สุขภาพร่างกายส่วนตนเท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นนักมังสวิรัติทั้งพฤติกรรมและจิตใจ จึงจะนับว่าเป็นนักมังสวิรัติที่แท้จริง

        เนื้อเจ ไก่เจ ปลาเจ ชื่อเรียกเหล่านี้มันก็เป็นแค่ภาษาเท่านั้น เราไม่ควรดูแต่ผิวเผิน สิ่งสำคัญก็คือ ถ้าอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ ไม่ขัดต่อหลักการใหญ่ เราควรจะกินได้อย่างสบายใจ ชื่อและรูปลักษณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพ่อค้าผู้ผลิต เพื่อให้เอื้อต่อผู้ที่เพิ่งเริ่มกินมังสวิรัติใหม่ ๆ เพราะเขายังติดความเคยชินเก่า ๆ อยู่ไม่มากก็น้อย จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัว แน่นอนว่าถ้ารูปลักษณ์มันดูเหมือนสัตว์มากเกินไปก็คงไม่ทำให้เราสบายใจนัก หลังจากกินมังสวิรัติไปนาน ๆ ในใจก็คงไม่ติดภาพของไก่ เป็ด วัว แพะอีกแล้ว ชื่อเรียกก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญอะไรอีกแล้ว เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางการค้าอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียของทุกอย่างในโลกก็ต้องมีชื่อเรียกอยู่แล้ว

... ... ...

        นักโภชนาการเคยทำการทดสอบมาตรฐานความอ่อนวัยของมนุษย์ไว้ โดยใช้อายุ 25 ปีเป็นเกณฑ์ และตรวจสอบความแตกต่างด้านกายภาพภายนอกระหว่างผู้ที่ดูอ่อนหรือแก่กว่าอายุจริง โดยกำหนดความแตกต่างของวัยไว้ที่ 4 ปี เช่น คนที่ดูอ่อนวัยเมื่ออายุ 25 ปีจะดูเหมือนอายุ 21 ปี ส่วนคนที่ดูแก่กว่าวัยเมื่ออายุ 25 ปีจะดูเหมือนอายุ 29 ปี เป็นต้น ถ้าใช้คนอายุ 30 ปีเป็นเกณฑ์ ความแตกต่างของวัยด้านกายภาพก็จะดูแตกต่างกัน 8 ปี เมื่ออายุ 40 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 12 ปี เมื่ออายุ 55 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 14 ปี เมื่ออายุ 60 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 16 ปี และเมื่ออายุ 80 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 20 ปี

        ดังนั้น ผู้ที่ดูแลตัวเองดี ๆ เมื่อมีอายุ 80 ปีก็จะดูเหมือนคนอายุ 60 ปี แต่ถ้าไม่ดูแลตัวเองก็จะดูเหมือนคนอายุ 100 ปี เห็นแล้วแตกต่างกันมากจริง ๆ

        นักมังสวิรัติถ้ามีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน อารมณ์ดี ออกกำลังกายพอเหมาะ ส่วนใหญ่แล้วจะดูอ่อนกว่าวัย ยิ่งมีอายุมากขึ้นก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

... ... ...

        โทษของการกินเนื้อสัตว์ 


        (๑) พิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง


        เมื่อเรากินเนื้อสัตว์เข้าไปแล้ว จะเกิดพิษอย่างน้อย ๕ อย่าง

        ๑. เวลาที่สัตว์ถูกฆ่า ร่างกายของมันจะเจ็บปวดอย่างรุนแรง และในจิตของมันจะเกิดความหวาดกลัว ความเคียดแค้นพยายาท ความทุกข์ระทมต่าง ๆ ก่อให้เกิดพิษขึ้นในร่างของมัน เมื่อถูกกินเข้าสู่กระเพาะและลำไส้ของมนุษย์ ถูกย่อยแล้วดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ทำให้เซลล์ตามอวัยวะต่าง ๆ ของเราได้รับพิษ เซลล์ก็เสื่อมลง หนักเข้าก็เป็นป่วยเป็นโรคและตาย

        ห้องทดลองทางจิตวิทยาแห่งหนึ่งที่วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองตรวจสอบผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายที่เกิดจากภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนไป วิธีทดลองคือวางหลอดแก้วทดลองในน้ำเย็น โดยให้ปากหลอดอยู่ด้านบน แล้วให้ผู้ทดลองพ่นลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วนั้น ลมหายใจนั้นเมื่อถูกความเย็นก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำอยู่ภายในหลอดแก้ว ผลการทดลองพบว่า ถ้าจิตใจของผู้ทดลองอยู่ในอารมณ์ปกติ หยดน้ำในหลอดทดลองจะใสไม่มีสี เหมือนน้ำปกติ แต่ถ้าผู้ทดลองอยู่ในอารมณ์เคียดแค้น โกรธ กลัว หรือริษยาเป็นต้น หยดน้ำในหลอดแก้วจะเป็นสีต่าง ๆ กันไป เมื่อทำการวิเคราะห์ทางเคมีต่อ ก็พบว่ามีสารพิษที่ร้ายแรงถึงขั้นทำลายชีวิตได้ทีเดียว เขาได้นำหยดน้ำที่เกิดจากอารมณ์ริษยาให้หนูทดลองดื่ม หนูจะตายภายในเวลาไม่กี่นาที น้ำพิษที่เกิดจากอารมณ์เคียดแค้นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง มีพิษร้ายแรงพอที่จะฆ่าคนตายได้ถึง ๘๐ คน นอกจากนี้ ผลจากการทดสอบจริงพบว่า แม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูกในขณะที่มีภาวะอารมณ์ผิดปกติ มีผลกระทบต่อตัวทารกอย่างเบาก็เจ็บป่วย อย่างหนักก็อาจถึงตาย

        ตัวอย่างผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ชิ้นนี้แสดงให้เห็นเรื่องสำคัญอย่างน้อยสองข้อ

        ก. ความเจ็บปวดรวดร้าวในชั่วขณะที่สัตว์ถูกคร่าชีวิตนั้น ภาวะอารมณ์ของสัตว์ที่ถูกกระทำอย่างรุนแรงจะกระตุ้นให้เซลล์ทั่วร่างกายของมันสร้างปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น เกิดเป็นสารพิษร้ายแรงขึ้นทั่วร่างกาย เมื่อคนกินเนื้อสัตว์ ก็จะกินสารพิษเหล่านั้นเข้าไปด้วย ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยต่าง ๆ ทั้งชนิดสะสมและฉับพลัน จนถึงขั้นก่อให้เกิดเนื้องอก มะเร็งได้ 

        ข. อารมณ์ที่เป็นโทษต่าง ๆ จะก่อให้เกิดสารพิษในเซลล์ของเราได้ ดังนั้น โรคทางกายต่าง ๆ ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยทางใจ ในทางกลับกัน อารมณ์ที่เป็นบวกต่าง ๆ เช่น อารมณ์สงบนิ่ง ยินดี พอใจ รักและเมตตา เป็นต้น สามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในเซลล์ได้ ทำให้เซลล์ขับของเสียออกไปได้เร็ว ดูดซึมธาตุอาหารได้เต็มที่ จึงส่งผลให้ร่างกายมีพลัง แข็งแรง กระปรี้กระเปร่า มีสุขภาวะดีและดูอ่อนเยาอยู่เสมอ ดังนั้น การปฏิบัติจิตก็เป็นการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดหนทางหนึ่ง จิตเป็นกุศลหรืออกุศล คือเส้นแบ่งของการมีสุขภาพดีและสุขภาพไม่ดี

        ๒. หลังจากที่สัตว์ถูกฆ่า เซลล์ในร่างของมันจะหยุดทำงานทันที  โปรตีนในเนื้อสัตว์จะควบแน่นและหลั่งเอนไซม์สลายตัวเองออกมา ทำให้กล้ามเนื้อเริ่มเน่า เกิดความเป็นพิษขึ้น เรียกว่า พิษจากซากศพ เมื่อเรากินเนื้อเข้าไปในท้อง มันจะค่อย ๆ ผ่านผนังลำไส้ของมนุษย์ซึ่งโดยธรรมชาติไม่เหมาะกับการย่อยเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ต้องใช้เวลาประมาณ ๕ วันจึงจะเคลื่อนไปถึงอวัยวะขับถ่าย (อาหารมังสวิรัติใช้เวลาเพียง ๑ วันครึ่ง) สารพิษจากเนื้อเน่าเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่ผนังลำไส้ สุดท้ายจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในลำไส้ พิษจากซากศพชนิดนี้แม้ว่าจะผ่านการปรุงด้วยความร้อนแล้วก็ยังไม่สลายไป กลายเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งในระบบกระเพาะอาหารและลำไส้

        ๓. โลกปัจจุบันมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความเจริญทางวัตถุก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีดีมานด์ของอาหารเนื้อสัตว์เพิ่มสูงขึ้นมาก ในกระบวนการทำปศุสัตว์ส่วนใหญ่จะทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เลี้ยงจำนวนมาก ให้อาหารจำนวนมาก ขนส่งจำนวนมาก และฆ่าทีละมาก ๆ ชีวิตอันแสนสั้นของสัตว์เหล่านี้เกิดและเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เบียดเสียดหนาแน่น ถูกบีบคั้น ถูกปิดกั้น ถูกผูกมัด ถูกแขวนห้อย อยู่ในที่มืด ๆ หรือถูกแสงไฟสว่างจ้า พื้นที่สกปรกและเหม็น ร่างกายของมันถูกกระทำจนได้รับความเจ็บปวดต่าง ๆ นานาสารพัด จิตของมันย่อมเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เป็นโทษทุกรูปแบบ กระตุ้นให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นโรคและหลั่งสารที่เป็นพิษออกมา แฝงฝังอยู่ในตัวของสัตว์นั้น เมื่อเรากินเนื้อสัตว์ที่เป็นโรคเป็นพิษเหล่านี้เข้าไป ถ้าเราไม่ป่วยไม่ได้รับพิษก็แปลกเกินไปแล้ว

        ๔. นักวิทยาศาสตร์จัดให้มนุษย์ที่กินเนื้อสัตว์เป็นพวกที่อยู่ปลายสุดของห่วงโซ่อาหาร เริ่มจากพืชได้อาหารจากแสงแดด อากาศ และน้ำ สัตว์กินพืช สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก และคนกินสัตว์ ปัจจุบันนี้ที่นาและสวนผลไม้ทั่วโลกต่างพากันพ่นสารเคมีที่เป็นพิษเพื่อฆ่าแมลงศัตรูพืช สารเคมีเหล่านี้ก็ไปตกค้างอยู่ในตัวของสัตว์ที่กินพืช มันจะอยู่ในไขมันของสัตว์ตลอดไป สัตว์ที่กินเนื้อของสัตว์กินพืชเข้าไปก็รับเอาสารพิษเคมีการเกษตรเข้าไปในไขมันของมันด้วย คนกินเนื้อสัตว์ก็กลายเป็นผู้รับเอาสารพิษนั้นไปเก็บไว้ในตัวเป็นคนสุดท้าย จากการสำรวจทางวิทยาศาสตร์พบว่า ปริมาณสารพิษจากยาฆ่าแมลงที่อยู่ในเนื้อสัตว์สูงกว่าในผัก ผลไม้ และหญ้าถึง ๑๓ เท่า ยาฆ่าแมลงเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของโรคมะเร็ง คนที่กินผักหรือผลไม้ยังสามารถขจัดสารพิษออกด้วยการล้างหรือปอกเปลือกได้บ้าง เรียกว่าพอจะหลีกเลี่ยงหรือลดทอนการได้รับพิษให้เหลือน้อยที่สุดได้จากการกินพืชผัก 

        ๕. เนื้อสัตว์ที่รอการขายในที่ต่าง ๆ เมื่อถูกเก็บไว้นานเข้าก็จะเริ่มเน่าและเปลี่ยนสี เพื่อที่จะรักษาสีของความสดเอาไว้ ผู้ค้าหลายคนจึงใส่สารกันบูดจำพวกไนเตรทหรือกรดดินประสิวลงไปโดยพลการ เมื่อเรากินเข้าไปจะกลายเป็นสารพิษรุนแรงที่ก่อมะเร็งได้

        นอกจากจะก่อให้เกิดมะเร็งได้แล้ว คนที่กินเนื้อสัตว์มากเกินไป จะสร้างภาระอย่างหนักให้แก่ตับซึ่งทำหน้าที่สลายพิษในร่างกาย เมื่อตับทำงานหนักเกินไปก็จะสูญเสียความสามารถในการสลายพิษ กลายเป็นโรคตับเสื่อม ตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ เป็นต้น

        (๒) เลือดเปลี่ยนสภาพเป็นกรด


        คุณภาพของเลือดในตัวคนคือตัวชี้วัดว่าคนผู้นั้นมีสุขภาพดีหรือไม่ เลือดที่มีคุณภาพดีคือเลือดที่มีความเป็นด่างอย่างพอเหมาะ คือมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 7.35 หรือเท่ากับเป็นเป็นด่างเล็กน้อย

        เมื่อร่างกายดูดซึมสารอาหารโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต จะเกิดสารที่เป็นกรดชนิดต่าง ๆ ขึ้น กรดที่มีฤทธิ์แรงเหล่านี้เมื่อตกค้างอยู่ในร่างกายจะก่อให้เกิดโรคได้ และยังทำให้ประสิทธิภาพในการผลักดันของเสียออกจากเลือดเสื่อมลงด้วย ดังนั้น เพื่อให้ระบบผลักดันของเสียทำงานได้อย่างเต็มที่ เลือดจำเป็นต้องมีองค์ประกอบของธาตุแคลเซียมและโปแตสเซียมในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อรักษาระดับความเป็นด่างอย่างพอเหมาะเอาไว้ มนุษย์จึงควรกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดให้น้อย และควรรับเอาแร่ธาตุที่มีฤทธิ์เป็นด่างจากอาหารให้มากพอ

        เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่มีองค์ประกอบของธาตุฟอสฟอรัสและกำมะถันมาก เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นกรด ทำให้เลือดมีความเป็นกรด ขณะที่อาหารจากพืชส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ทำให้เลือดมีความเป็นด่าง แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง เช่น ข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนเอเชีย เป็นแหล่งธาตุอาหารและพลังงานหลักของร่างกาย ก็มีธาตุฟอสฟอรัสมากและทำให้เกิดกรดเหมือนกัน ดังนั้น นอกจากอาหารหลักแล้วเราจึงควรได้รับแร่ธาตุอื่น ๆ อย่างเพียงพอ หรือก็คือควรกินผักและผลไม้ให้มาก เพื่อให้เลือดอยู่ในภาวะที่เป็นด่างอย่างแข็งแรงอยู่เสมอ

        อาหารเนื้อสัตว์ทำให้เลือดเป็นกรด เป็นสาเหตุเบื้องต้นของการเจ็บป่วย อาหารมังสวิรัติทำให้เลือดมีความเป็นด่างอยู่เสมอ ทำให้เลือดแข็งแรง เป็นพื้นฐานของการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง

        เลือดที่เป็นกรดยังเป็นแหล่งอาศัยอย่างดีของเซลล์มะเร็งอีกด้วย ดังนั้น การกินเนื้อสัตว์จึงเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็ง ในทางกลับกัน อาหารมังสวิรัติที่ช่วยสร้างความเป็นด่างให้แก่เลือด คือเทพีผู้กำราบโรคมะเร็งของเรา

        (๓) เส้นเลือดอุดตัน


        คอเลสเตอรอลที่อยู่ในไขมันสัตว์เมื่อเข้าสู่เส้นเลือดในตัวคนจะกลายเป็นของเหนียวหนืดคล้ายเทียนไข เกาะติดอยู่ที่ผนังหลอดเลือด สะสมไปเรื่อย ๆ หนาขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ช่องทางในหลอดเลือดแคบลงเรื่อย ๆ หัวใจซึ่งมีหน้าที่สูบฉีดเลือดจึงต้องทำงานหนักขึ้น ความดันในหลอดเลือดก็เพิ่มสูงขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย (โรคหัวใจ) หรือ stroke (หลอดเลือดในสมองแตก) จุดจบถ้าไม่เป็นอัมพาตครึ่งตัวก็เป็นทั้งตัวหรือเสียชีวิต โรคในระบบหมุนเวียนเลือดนี้ร้ายแรงพอ ๆ กับมะเร็ง เป็นนักฆ่ามือหนึ่งของมนุษย์เหมือนกัน สมาคมการแพทย์ของอเมริกาเคยรายงานว่า "มังสวิรัติสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ ๙๐ ถึง ๙๗ เปอร์เซ็นต์" เพราะในพืชไม่มีคอเลสเตอรอล แถมยังมีกากใยเป็นองค์ประกอบ มันทำหน้าที่คล้ายไม้กวาดในกระเพาะและลำไส้ของคน กวาดเอาของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการลงไปสู่ระบบขับถ่าย ขับออกนอกร่างกาย ดังนั้น มังสวิรัติไม่เพียงแต่สามารถป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมองแตก ยังสามารถป้องกันโรคในระบบขับถ่ายได้ด้วย เช่น โรคนิ่วในไต นิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ท้องผูก uremia (อาการเป็นพิษในเลือด) ริดสีดวงทวาร ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น

        (๔) ไตทำงานหนัก


        ในเนื้อสัตว์มีของเสียจำพวกยูเรียและกรดยูริคอยู่มาก ไตของผู้ที่กินเนื้อสัตว์ต้องทำงานหนักกว่าคนที่กินมังสวิรัติถึง ๓ เท่าเพื่อกำจัดสารเหล่านี้ออกจากร่างกาย ทำให้การทำงานของไตเสื่อม กลายเป็นโรคไตหรือ uremia ซึ่งรักษาได้ยาก มันเป็นโรคที่ได้ชื่อว่า รักษาให้ดีขึ้นได้ยาก อัตราการเสียชีวิตสูง ค่ารักษาแพง และเจ็บปวดทรมานทั้งกายใจ

        เมื่อไตไม่สามารถขับสารจำพวกไนไตรด์ออกได้ ยูเรียและกรดยูริคจะสะสมในร่างกาย ถูกดูดซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ กลายเป็นของแข็ง เป็นผลึก ถ้าผลึกแข็งเหล่านี้ไปเกาะอยู่ในข้อต่อของกระดูก ก็จะก่อให้เกิดอาการข้ออักเสบ เกาต์ โรคไขข้ออักเสบ ซึ่งรักษาไม่ได้ ต้องกลายเป็นผู้ป่วยอย่างทุกข์ทรมานจนกว่าจะเสียชีวิต

        ถ้าผลึกแข็งเหล่านี้ไปรวมกันอยู่ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการระบบประสาทอักเสบ ปวดสะโพกได้ ถ้าเป็นหนักก็ถึงขั้นระบบประสาทส่วนกลางล้มเหลว motor nerve เส้นประสาทสัมผัสไม่ทำงาน กลายเป็นอัมพาตบางส่วนหรือทั้งตัว เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้

        (๕) น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล


        อินซูลินที่สร้างขึ้นมาที่ตับอ่อนในร่างกายของมนุษย์ เมื่อได้เจอกับอาหารที่คนกินเข้าไปในกระเพาะ มันจะกลายเป็นน้ำตาลเพื่อช่วยในการย่อย แต่เนื่องจากเนื้อสัตว์มีสภาพเป็นกรด จำเป็นต้องใช้อินซูลินจำนวนมากจึงจะสามารถย่อยได้ ดังนั้น การกินเนื้อมาก ๆ จึงเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ตับอ่อน และเมื่อตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป กลายเป็นโรคเบาหวาน และส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคเสื่อมลง เจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมอาหารและการฟื้นตัวทางกายภาพอย่างเคร่งครัด ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างระมัดระวัง จึงจะสามารถควบคุมการกำเริบของโรคได้ เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาให้หายขาดได้ยากและอัตราการเสียชีวิตสูง

        ยาที่มีผลในป้องกันการเกิดโรคเบาหวานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดก็คืออาหารมังสวิรัติที่มีฤทธิ์เป็นด่างเท่านั้น

        (๖) โรคติดเชื้อและสารพิษต่าง ๆ


        สัตว์ก็เจ็บป่วยเป็นโรคได้เหมือนคน ยิ่งกว่านั้น สัตว์ไม่มีความรู้เรื่องสุขอนามัยเหมือนคน มันจึงกินของอันตรายเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นขยะ มูล อุจจาระ น้ำเสีย เศษอาหาร ซากสัตว์ที่ตายแล้ว ของเสียที่เป็นสารเคมี เป็นต้น ดังนั้น ในร่างกายของสัตว์จึงมักจะมีพิษสะสมหลายชนิด เช่น แบคทีเรีย เนื้องอก เซลล์มะเร็ง ฯลฯ และที่ผิวหนังและขนของมันก็มีพวกปรสิตแฝงตัวอยู่นับไม่ถ้วน ร่างกายของคนที่กินเนื้อสัตว์จึงเป็นเหมือนป่าช้าของซากศพที่เต็มไปด้วยโรค ความสกปรก และปรสิตเหล่านี้ เป็นภาวะที่น่าสยดสยองมาก มนุษย์ได้เอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าท้องตัวเองทุกวัน ๆ จึงไม่แปลกที่เราจะเจ็บป่วยกันอยู่เรื่อย ๆ มันเหมือนกับการจบชีวิตอันมีค่าด้วยการฆ่าตัวตายอย่างช้า ๆ

        สรุป


        ด้วยการกินอาหารมังสวิรัติ มันคือการกินเพื่อสุขภาพที่ดี คงไม่ต้องอธิบายซ้ำอีกแล้วล่ะว่ากินอาหารมังสวิรัติมีประโยชน์อย่างไร

        คนที่ห่วงใยเรามากที่สุดคือคนใกล้ตัว พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนสนิท ฯลฯ อย่าให้พวกเขาต้องเป็นกังวลกับเราเลย ดังนั้น เรามาฝึกกินพืชผักที่มีรสชาติดีกันเถิด มากินมังสวิรัติอย่างแข็งแรงและเป็นสุขกันเถิด


เขียนโดย 觉慈
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20160623/051133.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...