ระหว่างทางนั่งรถกลับโรงแรม ผมกลัวว่าจะเมารถ จึงลดกระจกหน้าต่างลง เอาหมวกมาสวม เอาผ้ามาพันคอ แล้วทอดสายตามองออกไปข้างนอก
ด้านข้างมีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามา คู่ขนานมากับรถของเรา รถบรรทุกสภาพเก่า ๆ หน่อย สีน้ำเงินที่เคลือบบนตัวรถมีรูโหว่เป็นรอยสนิมสีน้ำตาลเข้ม ที่รูสนิมนั้นเอง มีจมูกเล็ก ๆ ยื่นออกมา มันหนาวเย็นจนแดงก่ำ ลองสังเกตดี ๆ จึงเห็นว่ามันคือจมูกหมู ในรถคงจะบรรทุกหมูมาเต็มคัน ทุกครั้งที่รถผ่านหลุมผ่านเนิน ก็จะได้ยินเสียงร้องอู๊ดอ๊าดอี๊ดอ๊าดอย่างเซ็งแซ่ดังออกมาจากในรถ วันนี้อุณหภูมิที่เสิ่นหยางติดลบแล้ว ลมหนาวเย็นแทรกเข้ากระดูก บนหลังคารถมีหิมะขาวเกาะกองอยู่ อาจเป็นเพราะอุณหภูมิที่ต่ำมาก จมูกนั่นจึงหดกลับเข้าไป แต่ก็มีจมูกอันใหม่เบียดออกมาในทันที พวกมันคงอยากจะสูดอากาศภายนอกบ้าง ด้วยระยะห่างไม่ถึงสองเมตร ผมเฝ้ามองดูพวกมันอยู่จนถึงทางแยกที่ต่างคนต่างหันหัวรถเลี้ยวจากกันไป ดูห่างออกไปเรื่อย ๆ จนพวกมันกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ไกล ๆ ... อาจจะฟังดูเหมือนเป็นแม่พระนักบุญไปบ้าง แต่ภาพนั้นมันดูแล้วช่างหนักอึ้งและน่าเศร้า ไม่รู้ว่าพวกมันจะถูกพาไปส่งที่ไหน แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็คงหนีไม่พ้นต้องจบชีวิตด้วยการถูกฆ่า เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
ปี ๒๐๑๓ เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวเหมือนกัน เหตุเพราะซื้อตั๋วรถไฟไม่ได้ ผมจึงต้องขับรถพาแม่กลับบ้านในชนบทด้วยตัวเอง จากใต้ไปเหนือ ระยะทาง ๒๐๐๐ กิโลเมตร เริ่มออกเดินทางกลางคืน ขับมาจนถึงรุ่งเช้าก็จอดรถในเมืองเพื่อจะหาที่พัก แต่ปรากฏว่าโรงแรมเต็มหมดแล้ว ด้วยความเหนื่อยและเพลียผมไม่กล้าขับรถไปต่อ เราจึงสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้น ปรับเบาะนั่งให้เอนลง เพื่อจะนอนพักในรถ
ฟ้าเริ่มรุ่งสางแล้ว เราตกใจตื่นเพราะเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ รู้สึกตื่นตระหนกจนต้องหันมองไปโดยรอบว่ามีอะไรเกิดขึ้น จึงเห็นว่าข้าง ๆ มีรถบรรทุกหมูมาจอดอยู่ คนขับรถเปิดประตูออกมา ในมือที่เส้นเลือดดำปูดโปนกำแท่งเหล็กยาวประมาณสองเมตรออกมาด้วย เขาแทงเหล็กนั่นไปที่ตัวหมูในรถอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่หู ที่จมูก ที่กีบเท้า ที่ก้น... ดวงตาของเขาแดงก่ำ ปากก็พ่นคำด่าโล้งเล้ง พอแทงลงไปทีนึง หมูตัวที่ถูกแทงก็จะกรีดร้องอย่างรวดร้าว บนตัวมันผุดจ้ำแดง เลือดสดค่อย ๆ ไหลซึมออกมา เขาเดินและแทงไปรอบ ๆ ตัวรถ เมื่อเขาวนไปถึงจุดไหน พวกหมูที่อยู่ด้านนั้นก็จะเต้นเร่า ๆ ด้วยความตื่นตกใจ พื้นที่แคบ ๆ บนรถ มันจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ มันจึงหันหลังให้คนขับรถแล้วถีบโถมตัวไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต ... คนในรถคันอื่นที่จอดอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้นต่างตื่นกันขึ้นมาหมดแล้ว มีบางคนลงมาจากรถ แต่ทุกคนก็มองดูอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ แม่ผมเป็นคนขี้กลัว ท่านตกใจจนจับมือผมไว้แน่น ไม่ยอมให้ผมออกไปนอกรถ ผมพยายามบอกแม่ว่าไม่ต้องกลัว ประตูรถล็อคอยู่ ความจริงต่อให้แม่ไม่ดึงผมไว้ ผมก็ไม่กล้าออกไปยุ่งหรอก ลักษณะท่าทางของคนขับรถดูน่ากลัว ไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงที่หนาวจนตัวสั่นเหล่านี้ทำผิดอะไรจึงต้องถูกเขาทำทารุณถึงขนาดนี้ ในตอนหลังผมจึงได้รู้ว่าที่เขาต้องทำอย่างนั้นก็เพื่อไม่ให้หมูที่เบียดเสียดกันอยู่ในรถเป็นลมหรือตายจากการขาดออกซิเจน เพราะถ้าตายแล้วจะขายไม่ได้ราคา การแทงแบบนี้ทำให้พวกมันต้องเคลื่อนไหว ความเจ็บปวด ประสาทที่ตื่นตัวขึ้น ทำให้พวกมันมีลมหายใจอยู่ได้จนถึงโรงฆ่า ยังคงเป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความสดอยู่
ก่อนหน้านี้ผมเคยแชร์ข่าวจากประเทศเกาหลีเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีแผงขายเนื้อหมาบางเจ้าใช้วิธีผูกขาทั้งสองข้างของหมาแล้วแขวนห้อยหัวไว้อย่างเป็น ๆ เพื่อเตรียมจะฆ่า เขาจะปล่อยให้มันดิ้นรนในอากาศอยู่อย่างนั้น เพื่อจะให้เนื้อของมันอ่อนนุ่มน่ากินมากขึ้น... หมาหลายตัวตายโดยที่เนื้อและหนังที่ขาของมันถอกเปิดออกจนเห็นกระดูกขาว ๆ ข้างใน ... ไหน ๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว จะให้มันตายง่าย ๆ หน่อยไม่ได้เชียวหรือ
ระหว่างทางกลับบ้านหลังเหตุการณ์รถบรรทุกหมูครั้งนั้น แม่แทบไม่ได้พูดอะไรอีกเลย พอใกล้จะถึงบ้าน ท่านจึงบอกว่าท่านตั้งใจจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกแล้ว ท่านไม่อยากให้ตัวเองเป็นเหตุให้สัตว์เหล่านั้นต้องได้รับการทารุณอีก ผมก็ยิ้ม ๆ และเออออไปกับแม่ด้วย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงจังอะไร
แต่ทว่า หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา แม่ก็เริ่มกินมังสวิรัติจริง ๆ
แม่ผมไม่ได้เป็นคนมีความเด็ดเดี่ยวอะไร ปกติก็ไม่เคยเห็นท่านยืนหยัดตั้งมั่นในเรื่องใดมาก่อน พอท่านเริ่มกินมังสวิรัติ ผมกับพ่อมักจะทำท่าสนับสนุนไปแบบสนุก ๆ เท่านั้น คิดว่าปล่อยให้ท่านดึงดันไปสักพักก็คงจะเลิกไปเอง
ไม่นึกว่าท่านจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาจริง ๆ ท่านไม่กินอะไรที่เป็นชิ้นส่วนของสัตว์อีกเลย ไม่แตะอาหารเนื้อสัตว์เลยแม้แต่น้อย ท่านเริ่มหัดทำกับข้าวมังสวิรัติ หมักถั่ว ผัดเห็ด เต้าหู้หนึ่งก้อนสามารถทำเป็นอาหารได้สิบกว่าชนิด ทั้งผัด ทอด ต้ม ตุ๋น ยัดไส้ด้วยเห็ด ถั่ว ฯลฯ
หลังจากที่แม่กินมังสวิรัติแล้ว ก็ไม่มีผลอะไรกับผมเลย เพราะผมจะทำงานนอกบ้านตลอด ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ผมก็กินของผมเองตามปกติ คนที่แย่ที่สุดก็คือพ่อ แม่เป็นคนทำอาหารในบ้านมาตลอด ทำอร่อยด้วย อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติเลย พ่อซึ่งไม่ได้ศรัทธาอะไรแบบนี้มาก่อน กินข้าวแต่ละมื้อก็ลำบากยากเย็นไม่น้อย แต่พ่อก็ขี้เกียจจะทำเอง จะออกไปกินข้างนอกก็ขี้เกียจยิ่งกว่า ผ่านไปหนึ่งเดือนพ่อน้ำหนักลดลงไปสองสามกิโล เมื่อย้ายบ้านมาอยู่ที่เซินเจิ้นแล้วพ่อก็มีเพื่อนแค่ไม่กี่คน กำลังคิดว่าจะหัดตกปลาเป็นการฆ่าเวลาบ้าง แต่ก็ถูกแม่เอาเบ็ดไปซ่อนเสียก่อน แม่บอกว่าจะเล่นสนุกก็ไม่ควรต้องทำร้ายชีวิตสัตว์ งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของพ่อก็ถูกหักคอแขวนเข้าตู้ไปเรียบร้อย ชีวิตของพ่อเฒ่าก็เลยดูจืด ๆ ไป ถึงตอนนี้แม่ผมก็กินมังสวิรัติมาได้หลายเดือนแล้ว และดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเสียด้วย ผมกับพ่อจึงตกลงกันว่าต้องคุยกับแม่จริง ๆ สักที
อันที่จริงผมมีความรู้สึกว่าการที่แม่มากินมังสวิรัติไม่ได้เป็นเพราะบังเกิดมีใจเมตตาขึ้นมาเท่านั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ท่านหาทางออกจากชีวิตที่ไม่ได้อย่างใจหวังมากกว่า ตลอดชีวิตของท่านที่ขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อทำมาค้าขาย ผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง ถ้าจะวัดด้วยตัวเงิน ถือได้ว่าครึ่งค่อนชีวิตที่ผ่านมาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลย ความฝันหลายอย่างไม่เป็นจริง ความทะเยอทะยานที่เคยมีก็สลายกลายเป็นฟองไปหมดแล้ว เรื่องกินมังสวิรัติเนี่ย ลดละกิเลสทำใจให้บริสุทธิ์เนี่ย คนก็แก่ลงทุกที ในเมื่อไม่ได้สิ่งที่เคยอยากได้เสียแล้ว ก็เลยปลอบใจตัวเองด้วยการบอกตัวเองว่าไม่อยากได้แล้ว ผมกับพ่อพยายามพูดกับแม่ด้วยความเป็นห่วง แต่แม้ว่าจะใช้คำพูดที่หนัก ๆ เข้ม ๆ อย่างมากที่สุดเท่าที่จะพูดได้แล้ว แม่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจเลย ไม้สุดท้ายเราลงทุนถึงขั้นขอร้องกันเลย ขอเพียงแต่ให้ยอมกลับมากินอาหารทั่วไปเหมือนเดิมเท่านั้น จะมีเงื่อนไขอะไรมาแลกก็ได้ทั้งนั้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโอนอ่อนอยู่ดี
ในเมื่อห้ามไม่ฟัง ก็ต้องปล่อยตามใจท่านไป เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
การกินมังสวิรัติทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ชีวิตของแม่อยู่ไม่น้อย ร้านอาหารข้างนอกที่พอจะกินได้นั้นมีนับร้านได้เลย จะสั่งอาหารแต่ละอย่างก็ต้องระมัดระวังมาก ไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ต้องเอาแว่นตามาส่องอ่านส่วนประกอบบนซองหรือกล่องอย่างละเอียด เวลาที่เราออกไปข้างนอกด้วยกัน ในกระเป๋าของท่านมักจะมีอาหารพกติดไปด้วย ถ้าไปกินข้าวข้างนอกแล้วหาร้านที่มีอาหารมังสวิรัติไม่ได้ เราก็สั่งอาหารของเรา ส่วนแม่ก็สั่งแต่ผัก น้ำร้อนสำหรับแช่หมั่นโถวหรือขนมปังกรอบ จำยอมกินให้มันผ่าน ๆ ไปมื้อหนึ่งเท่านั้น
ผมเคยขอร้องท่านอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วหลายครั้งว่า อย่าดื้อดึงอีกเลย ทำอย่างปกติคนอื่นเขาได้ไหม ท่านก็ยังเหมือนเดิม ท่านคิดว่าการกินมังสวิรัติก็เป็นเรื่องปกติมาก โลกนี้มีของที่กินได้มากมาย ทำไมต้องอาศัยการฆ่าเพื่อให้ท้องเราอิ่ม เมื่อได้ทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็กลายเป็นนิสัยความเคยชิน ท่านจึงไม่รู้สึกว่าลำบากยากเย็นอะไรอีกเลย
ผมบอกแม่ว่า ผมยังไม่ได้แต่งงานเลย รอผมแต่งเมื่อไหร่ก็ต้องมีงานเลี้ยงใช่มั้ย ถึงตอนนั้นแล้วญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็จะมากันหมด จะให้เอาแต่ใจแม่คนเดียวไม่ได้หรอกนะ ถ้าอาหารบนโต๊ะแม่บอกว่าอันนี้ก็ไม่กิน อันนั้นก็ไม่รับ มันจะได้หรือ?
แม่ตอบว่า ถ้าแกได้แต่งงานก็เป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรมีสัตว์ใดที่ต้องถูกฉีกเนื้อถลกหนังเพื่องานมงคลแบบนี้
คำพูดนี้ของแม่ทำให้ผมประหลาดใจมาก เพราะเมื่อก่อนแม่จะมีแต่เร่งให้ผมแต่งงานเร็ว ๆ ถ้าคุยกันถึงเรื่องที่ผมจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ แม่จะตั้งตารออย่างมาก จะเอาอะไรก็ยอมทั้งนั้น ทุกครั้งที่ท่านมาเร่งรัด ผมจะต่อต้านเต็มที่ มาตอนนี้ท่านสงบลงแล้ว กลายเป็นผมเองที่ร้อนใจ
เมื่อก่อนแม่ก็ทำอาหารได้อร่อยน่ากินมาก สามารถทำอาหารจานเด็ดอย่างหมูอบหรือหมูกรอบก็ได้ ผมมักจะกินจนเกลี้ยงแถมแทบไม่พอเอาด้วยซ้ำ อันที่จริงถ้าผมอยากกินอะไรแล้วท่านไม่ทำให้ ผมก็ไปหาซื้อกินนอกบ้านได้ หรือผมจะทำเสียเองก็ยังได้ แต่ผมก็ยังอยากให้ท่านได้กินของดี ๆ บ้าง ได้กินอยู่อย่างมีความสุขเหมือนคนอื่น ๆ บ้าง
เวลาผ่านไปสามปี เร็วเหมือนแค่พริบตาเดียว ระหว่างนั้นผมไม่เคยหยุดขอร้องท่านเลย มีโอกาสเมื่อไรเป็นต้องพูด แล้วก็โต้แย้งกัน มีความคิดที่จะโน้มน้าวเปลี่ยนใจท่านมาตลอด ผมคิดเสมอว่าจะดึงท่านกลับมาให้จงได้
ผมเคยเป็นกังวลมากเรื่องสุขภาพของท่าน กลัวว่าท่านจะขาดสารอาหาร จึงพาท่านไปตรวจสุขภาพอยู่หลายครั้ง ยังดีที่ค่าการตรวจวัดต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับปกติ ทำให้ผมเป็นห่วงน้อยลงมาก แต่การกินมังสวิรัติกลับไม่ได้ทำให้ท่านผอมลงเลยสักนิด พูดตรง ๆ ท่านก็ยังเป็นคนอ้วนเหมือนเดิม
เวลากินข้าวโต๊ะเดียวกัน เราก็ต่างคนต่างกิน ส่วนใหญ่ผมกับพ่อก็จะพูดโน้มน้าวแม่ แต่แม่ไม่ค่อยได้พูดโน้มน้าวอะไรเราเท่าไร เพราะแค่ต้องตอบโต้คำพูดของเราท่านก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว
บางครั้งแม่ก็จะพูดถึงหนังสือที่เคยอ่านมาบ้าง พูดถึงความทุกข์ทรมานที่สัตว์ได้รับ ผมกับพ่อก็ไม่ค่อยจะสนใจฟัง เพราะชีวิตที่เราเป็นอยู่ดูเหมือนจะปกติดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ มนุษยชาติก็กินอยู่แบบนี้มาแต่โบร่ำโบราณ มันคงยังไม่ถึงเวลาที่เราจะมาคิดเรื่องนี้อย่างละเอียดว่ามันผิดหรือถูกอย่างไร อีกอย่างหนึ่ง เนื้อที่เรากินก็ซื้อมาจากร้านค้า ไม่ต้องไปเห็นการฆ่าอย่างทารุณด้วยตาตัวเอง จึงไม่เคยมีความรู้สึกผิดบาปอะไรเลย
ปี ๒๐๑๔ ผมได้ไปเที่ยวที่มองโกเลียใน ได้รับการต้อนรับจากเพื่อนอย่างดี ลงจากเครื่องบินก็ขึ้นรถตรงไปเขตชนบททันที แล้วผมก็ได้เห็นทิวทัศน์สวยงามเหมือนในฝัน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลและฝูงแกะกระจายไปทั่ว และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ขี่ม้าจริง ๆ ตอนเย็นขากลับจากทุ่งหญ้า คุณลุงได้ซื้อลูกแกะจากคนเลี้ยงมาตัวหนึ่ง แล้วพามันกลับบ้านในตัวอำเภอด้วยกัน
เจ้าตัวเล็กสูงประมาณหัวเข่าของผมได้ ขนสีขาว ๆ เทา ๆ ของมันเมื่อลูบดูจะรู้สึกทั้งนุ่มและอบอุ่น บนหลังของมันยังมีใบหญ้าติดอยู่เลย คงจะติดมาตอนที่มันวิ่งเล่นในทุ่ง ผมอุ้มมันเข้าไปในห้องรับแขก ปกติมันจะอยู่ในคอกเก่า ๆ บนทุ่งหญ้า ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่มันได้เข้ามาอยู่ในห้องของคน ทีแรกมันก็ดูมีอาการตื่นกลัวอยู่ แต่ไม่นานนักมันก็ร่าเริงขึ้นมา มันกระโดดไปมาอยู่ในห้องนั้น ร้องทักทายทุกคนด้วยเสียงร้องแบ๊ะ แบ๊ะ ผมเอาหญ้าป้อนให้มันกิน พอกินอิ่มมันก็งอขาหน้าย่อลง ทำเหมือนการแสดงความเคารพ เอาหัวซบลงที่ขาของผม
วันรุ่งขึ้นพอผมตื่นขึ้นมาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้ออบอวลไปทั่วทั้งห้อง รู้สึกหิวจนทนไม่ไหว คว้าเสื้อผ้ามาสวมได้ก็บึ่งไปที่ห้องครัวทันที ตอนเดินผ่านลานในบ้าน มองเห็นกองเลือดอยู่กองหนึ่ง มีชามอลูมิเนียมอุ่น ๆ วางอยู่หลายใบ ในนั้นมีเลือดใส่ไว้เต็ม ๆ ที่ข้าง ๆ กันมีหนังแกะผืนเล็ก ๆ แขวนอยู่ ที่หลังของมันยังมีเศษหญ้าติดอยู่เลย ถึงตอนนี้ผมถึงคิดขึ้นมาได้ว่า ที่เมื่อวานเราพามันกลับมาบ้านก็เพื่อเป็นอาหารสำหรับต้อนรับการมาของผมนี่เอง
เนื้อนั้นตุ๋นเสร็จแล้ว ผมก็กินไปบ้างนิดหน่อย บอกตามตรง ครั้งนั้นเป็นเนื้อแกะที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาในชีวิต แต่มันก็เป็นอาหารมื้อที่ทรมานใจมากที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน อาจจะเป็นผลกรรมก็ได้ที่ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืมภาพที่มันวิ่งเล่นจนเหนื่อยแล้วมาคุกเข่าซบลงตรงหน้าผมเลย หากไม่ใช่การมาเยือนที่นั้นของผม แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันก็คงจะถูกฆ่าอยู่ดี แต่อาจจะได้อยู่อีกหลายวัน ยังได้วิ่งเล่นล้มลุกล้มกลิ้งอยู่ข้างตัวพ่อแม่ของมันอีกหลายหน ยังได้เห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อีกหลายครั้ง
ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งที่ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือ เป็นคำพูดของซานจื่อ และซานจื่อก็มีตัวตนอยู่จริง ๆ ด้วย
ผมถามเขาว่า "เลี้ยงหมูก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ? ได้เงินด้วย ทำไมถึงบอกว่าไม่ทำซะแล้วล่ะ"
ซานจื่อถอนหายใจ ไม่ตอบอะไร ลุกขึ้นยืนแล้วจุดบุหรี่ให้ตัวเอง เติมน้ำในแก้วให้ผม แล้วก็นั่งลงไปอีก
เขาบอกว่า "แกรู้มั้ย จริง ๆ แล้วหมูมันฉลาดมากนะ เวลานอนมันฝันได้ด้วย เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านฉันเคยตั้งชื่อให้พวกมัน ฉันรู้สึกว่าเวลาเรียกชื่อมัน มันก็ฟังเข้าใจด้วย"
ซานจื่อสูดควันบุหรี่หนึ่งคำแล้วพูดต่อ "พอถึงฤดูที่ต้องออกจากคอก รถรับซื้อหมูจะขับมาจอดถึงหน้าบ้าน พวกมันเหมือนจะรู้ พยายามยันรั้วคอกไว้อย่างสุดฤทธิ์ ไม่ยอมออกมา ปกติมันไม่เป็นอย่างนั้น พวกมันเตะถีบกันสุดชีวิต พวกมันรู้ว่าขึ้นรถไปแล้วเนี่ย จะไม่มีวันได้กลับมาอีกเลย พอเข้าไปอยู่ในลูกกรงและเอาขึ้นรถแล้ว ตอนรถจะออก พวกมันจะไม่โวยวายกันแล้ว มันจะหันหน้ากลับมามองดูบ้าน บ้านที่ดูห่างออกไปเรื่อย ๆ"
เขาบอกว่าเงินที่ได้จากการขายหมู ได้มาก็ไม่รู้จะยังไงดี ไม่กล้าใช้ เวลาใช้ก็รู้สึกลำบากใจ
ตอนซานจื่อเล่าเรื่องนี้ เขายิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก เขาบอกว่า "ฉันพูดไม่ค่อยเก่ง บอกไม่ถูก ความรู้สึกแบบนี้แกคงไม่เข้าใจหรอก"
พวกมันเกิดมาในโลกนี้ก็ถูกเรากำหนดชีวิตไว้หมดแล้ว จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา เป็นแบบนี้มาตลอด พวกมันไม่มีความสามารถจะต่อต้านได้ พวกเราก็ยิ่งใหญ่เสียจนไม่เคยเหลียวแลความรู้สึกของพวกมันมานานแล้ว
ผมเป็นแค่คนเดินดินคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้มีเมตตาหรือมีปัญญาอะไร ตอนนี้ผมก็ยังกินเนื้ออยู่ และก็ไม่คิดว่าจะตัดความอยากทางปากนี้เสียได้ เรื่องการกินมังสวิรัตินี้ผมบอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิดอย่างไร ยิ่งไม่มีคำตอบให้ด้วยว่าดีหรือไม่ดี ผมเล่ามาเสียยืดยาวขนาดนี้ เพราะผมเองก็ตีบตันและสับสนเหมือนกัน
แต่ผมคิดว่า นับแต่นี้เป็นต้นไปผมจะไม่ขัดเรื่องที่แม่กินมังสวิรัติอีกแล้ว มีเรื่องหลายเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับผม แต่การยืนหยัดของแม่นั้น สุดท้ายก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง มันอาจจะเป็นอย่างที่ซูตงพอ (苏东坡 กวีในสมัยราชวงศ์ซ่ง) กล่าวไว้ก็ได้ รสชาติที่เรียบง่ายนี่แหละเป็นรสชาติอันผาสุกของชีวิต ถ้าสามารถควบคุมความอยากของตัวเองแล้วได้รับความสงบในจิตวิญญาณ ก็นับว่าเป็นวาสนาของแม่ ถ้าสามารถเอาประโยชน์จากโลกให้น้อยลงแล้วรู้สึกยินดีพอใจได้ มันก็ยิ่งเป็นบุญของท่าน
สัตว์เหล่านั้นแม้อย่างไรก็ต้องถูกกิน ก็หวังว่าก่อนตายมันจะได้รับความทุกข์และทรมานน้อยลงบ้าง เพราะกฎหมายไม่อาจปกป้องจิตวิญญาณในโลกให้มีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีได้ทั้งหมด จิตใจอันเป็นกุศลนี้เองจึงสำแดงคุณค่าอันเติมเต็มและเด่นชัดขึ้นมาได้
เรามักจะหวังให้โลกเป็นคุณแก่เราเสมอ เอาใจเทียบกับใจกันแล้ว ใช่หรือไม่ว่าเราก็ควรจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้โลกนี้มีความโหดร้ายทารุณลดน้อยลงด้วย?
เขียนโดย บล็อกเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า 回忆专用小马甲
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20161207/026839.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น