30 ก.ย. 2560

ฮันซา (Hunza) ชนเผ่ามหัศจรรย์ที่อายุยืนที่สุดในโลก



        โลกเรานี้ยังมีชนเผ่าที่แปลก ๆ อยู่ไม่น้อยเลย หลาย ๆ ชนเผ่ามีเอกลักษณ์ที่ประหลาดพิสดารอย่างเหลือเชื่อ เช่น มีชนเผ่าหนึ่งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของอังกฤษที่แสดงความรู้สึกยินดีด้วยการร้องไห้ เมื่อมีงานแต่งงานพวกเขาจะมารวมกลุ่มกันแล้วร้องไห้เสียงดัง ๆ พร้อม ๆ กัน เพื่อแสดงความยินดีและมีความสุข หรือในซาอุดิอาระเบียมีชนเผ่าหนึ่งที่ถือว่าการหัวเราะเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ ถ้ามีใครหัวเราะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่จะต้องถูกหัวหน้าเผ่าลงโทษ เป็นต้น

        ในบรรดาชนเผ่าแปลก ๆ อันเหลือเชื่อเหล่านี้ เราอยากจะให้ท่านได้รู้จักกับชาวเขาเผ่าฮันซา (Hanza) ที่ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่แข็งแรงที่สุดในโลก

"เบิกบาน แข็งแรง มีชีวิตชีวา พวกเขากินอาหารที่สดใหม่ (แอปริคอต) หายใจกับอากาศบนเขาสูง ดูเป็นคนอ่อนวัย และไม่ค่อยมีคนเจ็บป่วย"

        ปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษ ได้หลงเข้าไปในหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าฮันซา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาที่เงียบสงบ มีลำธารสองสายไหลผ่าน ลำธารแม้จะคดเคี้ยวแต่ก็ดูเรียบง่ายเหมือนเป็นเส้นที่ถูกลากด้วยมือของเด็กน้อย

        หมู่บ้านฮันซาเป็นดินแดนราวกับสวรรค์บนโลกมนุษย์ที่ทำให้เจมส์ ฮิลตันรู้สึกหลงใหลอย่างลึกซึ้ง ถึงขนาดเรียกมันว่า "เชียงกรีล่า" เขาได้เขียนบรรยายความประทับใจไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า "Lost Horizon"

        นายแพทย์โรเบิร์ต แมคคาร์ที ผู้นำกลุ่มวิจัยที่มาทำการศึกษาชีวิตชาวฮันซาใช้คำเรียกขานชนเผ่านี้ว่า "ชนเผ่าที่ไม่ป่วย"

        ในปี ค.ศ. ๑๙๙๙ มร. เคอิชิ โมริชิตะ (Keiichi Morishita) ผู้ก่อตั้งสถาบันสุขภาพวิถีธรรมชาติ ได้ทำการตรวจสุขภาพชาวฮันซาที่มีอายุเกินร้อยปีจำนวน ๑๒๙ คน พบว่าในร่างกายของพวกเขามีไลโปฟัสซิน (Lipofuscin รงควัตถุที่บ่งบอกถึงความชรา) อยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ของพวกเขาดูอ่อนวัย เทียบเท่ากับคนในเมืองที่อายุประมาณ ๕๐ ปี

        ณ หมู่บ้านแห่งนี้ คนอายุ ๖๐ ถึง ๗๐ ปีก็ยังไม่ถือว่าแก่ คนอายุเกินร้อยปีแล้วก็ยังคล่องแคล่วว่องไว เดินขึ้นเขาได้ราวกับเดินอยู่บนพื้นราบ

        ชาวฮันซามีอายุขัยเฉลี่ย ๑๒๐ ปี


        ฮันซาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศปากีสถาน เป็นดินแดนที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาหิมาลัย อยู่บนเขตภูเขามีความสูง ๒๔๓๘ เมตรจากระดับน้ำทะเล มีอาณาเขตจากเหนือถึงใต้ ๑๖๑ กิโลเมตร จากตะวันออกถึงตะวันตก ๕ กิโลเมตร มีประชากรประมาณ ๖ หมื่นกว่าคน ในช่วงเวลาสองพันกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถานไปแล้ว

        ชาวปากีสถานอื่น ๆ มีอายุขัยเฉลี่ย ๖๗ ปี แต่ที่ฮันซาคนอายุ ๑๐๐ ปีก็ยังไม่ถือว่าแก่ด้วยซ้ำ ยังแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ คำกล่าวที่ว่า "you are what you eat" เป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย มันคือเคล็ดลับความมีอายุยืนของชาวเขาเผ่านี้นี่เอง 

        พวกเขาไม่ได้อยู่เพื่อกิน แต่กินเพื่ออยู่

        ชาวฮันซากินอาหารวันละ ๒ มื้อ คืออาหารเช้าและอาหารค่ำหลังพระอาทิตย์ตก นอกจากนี้พวกเขายังกินแต่อาหารที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น ได้แก่ ผลไม้ พืชผัก ธัญพืช เป็นต้น โดยไม่มีสารเคมีหรือสารปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น 

        เป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ที่จะมีลูกตอนอายุ ๖๐ ปี เราอาจจะรู้สึกประหลาดใจมาก แต่สิ่งเหล่านี้เป็นคุณประโยชน์อันเกิดจากการกินอาหารและวิถีชีวิตของพวกเขา

        ๙๐๐ ปีมานี้ไม่มีคนเป็นโรคมะเร็งเลย 


        ที่นี่มีภูมิประเทศราวกับภาพวาด สงบสุขเหมือนคำพรรณนาในกวีนิพนธ์ ทุกคนมีชีวิตแบบกสิกรตามวิถีธรรมชาติ "ตะวันขึ้นก็ทำงาน ตะวันตกก็พักผ่อน" ทำอย่างพออยู่พอกิน ไม่แข่งไม่แย่งกับใคร แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวล้วนต่างไปมาหาสู่กัน พวกเขาถูกมองว่าเป็นชนเผ่าที่แข็งแรงที่สุดในโลก ว่ากันว่าคนในชนเผ่าของพวกเขานั้น ตลอดระยะเวลา ๙๐๐ ปีที่ผ่านมานั้นยังไม่เคยมีใครเป็นโรคมะเร็งเลย

        คนในท้องถิ่นนี้แทบจะไม่เคยป่วย คนอายุ ๖๐ - ๗๐ ปียังไม่เรียกว่าแก่ คนอายุ ๘๐ - ๙๐ ปียังคงทำงานในสวนในไร่กันอยู่ อายุขัยโดยเฉลี่ยของชาวฮันซาจะเกินร้อยปีขึ้นไป มีการเจ็บป่วยน้อยมาก และแทบจะไม่มีคนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้ทั่วไปในคนเมืองสมัยนี้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตผิดปกติ เป็นต้น

        นอกจากนี้ หน้าตาผิวพรรณและสมรรถภาพทางร่างกายของพวกเขายังดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย คุณยายที่อายุ ๙๐ กว่าปีจะดูอ่อนวัยเหมือนหญิงอายุ ๔๐ หรือ ๕๐ ปีเท่านั้น

        กินมังสวิรัติและกินผักสดเป็นหลัก


        มีนักวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า เหตุผลที่ชาวฮันซามีอายุยืนเกิดจากการที่พวกเขากินอาหารที่เป็นผักและผลไม้ตามธรรมชาติเป็นหลัก ชาวฮันซาแทบจะไม่กินอาหารที่มาจากสัตว์เลย เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของพลังงานที่ได้จากเนื้อสัตว์และนมกับปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ พวกเขาได้แคลอรี่จากเนื้อสัตว์และนมเพียง ๑.๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 

        ปกติพวกเขาจะกินผักและผลไม้ตามธรรมชาติเป็นอาหารหลัก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนเชื้อเพลิง จึงกินผักสด ๆ มากกว่าเอาไปปรุง ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นธรรมชาติและอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอย่างมาก 

        นอกจากผักและผลไม้แล้ว (ผลไม้หลักคือมัลเบอรี่และแอปริคอต) ธัญพืชที่ชาวฮันซากินเป็นประจำคือข้าวสาลีและข้าวฟ่าง และมักจะนำมาผสมกับถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง ข้าวบาร์เลย์ หรือถั่วลันเตาบดให้เป็นแป้งแล้วเอามาทำเป็นแผ่นแป้งอบที่เรียกว่า "จาปาตี" ซึ่งในกระบวนการทำแป้งนี้พวกเขาจะไม่เลือกเอาเปลือกถั่วและเมล็ดถั่วที่เริ่มงอกออกทิ้งด้วย ดังนั้นส่วนที่มีคุณค่าสูงเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในอาหารที่พวกเขากิน 

        ปกติพวกเขาจะดื่มน้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็ง และน้ำนี้ยังเป็นน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกของชาวฮันซาอีกด้วย การปลูกผักและผลไม้ของพวกเขาจะไม่มีการใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมีเลย แต่จะใช้ปุ๋ยหมักที่ทำจากเศษพืชผักและใบไม้ จึงไม่มีการปนเปื้อนและมีธาตุอาหารสำหรับพืชผักอย่างอุดมสมบูรณ์

        มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มีรอยยิ้มให้กับผู้คน


        วิถีชีวิตแบบที่จั่วหัวไว้ในวลีข้างต้นนี้ เป็นเรื่องที่หาได้ยากจากคนเมืองทันสมัยในปัจจุบัน แต่ในโลกของชาวฮันซา อารมณ์ที่เป็นลบต่าง ๆ เช่น เครียด กดดัน ขัดแย้ง หรือการทะเลาะเบาะแว้งจะพบได้น้อยมาก พวกเขาไม่ตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง และแทบจะไม่มีใครป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบจิตประสาทเลย

        โลกของพวกเขาก็เหมือนโลกของเด็ก ๆ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และมีรอยยิ้มให้กับทุกคน

        ชาวฮันซาไม่ขี้เกียจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาขยันขันแข็งกันมาก ทำงานตั้งแต่เช้าจนพระอาทิตย์ตก พวกเขาชอบเดินและเคลื่อนไหวมากกว่านั่งดูภาพยนตร์อยู่ในบ้าน


        ชีวิตที่กินผักเป็นอาหารหลัก มีวัตถุดิบอาหารมาจากธรรมชาติที่ไม่มีสารปนเปื้อน อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย อีกทั้งมีอุปนิสัยเป็นคนใจพอสันโดษ มีความสุขกับสิ่งที่ตนเองหาได้ จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะได้ชื่อว่า "ชนเผ่าที่แข็งแรงที่สุดในโลก"

        วิถีแห่งการกินอาหารของพวกเขาได้กลายเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการมีวิถีชีวิตแบบกินพืชผักเป็นอาหาร และเป็นการพิสูจน์ด้วยว่ายิ่งกินมังสวิรัติก็ยิ่งมีสุขภาพดี


ที่มา http://ss.zgfj.cn/YGSF/2017-04-21/17473.html

7 ความคิดเห็น:

  1. อตลี วิจิตรพันธ์2 พฤษภาคม 2561 เวลา 19:12

    สุดยอดเลยค่ะเป็นแบบอย่างที่ดี

    ตอบลบ
  2. เรื่องดีๆวิถีกินอยู่ที่สมควรปฏิบัติ...

    ตอบลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  4. กินผักเหนาะดิบ สุขภาพแข็งแรง ผลไม้ไม่หวาน

    ตอบลบ
  5. สตีฟจอบ ก็ไม่กินเนื้อสัด

    ตอบลบ
  6. สุดหล่อ สตีฟ ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่บริโภคพวก อาหารเจ สมัยใหม่ ที่ใส่วัตุกันเสียและสารเคมีต่างๆ อัตราการเกิดมะเร็งของคนกินผักในสมัยนี้แทบไม่ต่างจากคนกินเนื้อเลย

    ตอบลบ

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...