2 ก.ย. 2560

เงิน ๒๐ ล้านที่สูญไปทำให้ผมได้มาพบธรรมะ

อาหาวนักเลงขาโจ๋ในอดีต


        ผมมาจากเมืองฉงชิ่ง ปีนี้อายุ ๓๐ ปี อาชีพปล่อยเงินกู้ มีลูกสองคนแล้ว

        เหตุอะไรที่ทำให้ผมได้มาสัมผัสกับธรรมะของศาสนาพุทธน่ะหรือ?

        เหตุเพราะเมื่อปีที่แล้วผมถูกเพื่อนที่สนิทกันมากคนหนึ่งโกงเงินไป ๓.๘๕ ล้านหยวน (ประมาณ ๒๐ ล้านบาท) ตอนนั้นผมโกรธมาก จึงไปเล่นงานเขาเสียยับเลย ผลก็คือคนในครอบครัวเขาไปแจ้งตำรวจ ผมถูกตำรวจจับและถูกขังอยู่ในคุกหนึ่งเดือน ตอนติดอยู่ในคุกนั้น ผมคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ซวยขนาดนี้ ตอนนั้นผมหดหู่ใจจนเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว

        ผมเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ที่บ้านมีฐานะค่อนข้างดี พ่อแม่ก็เลี้ยงอย่างตามใจมาแต่เล็ก คงเป็นเพราะพวกท่านรู้สึกว่าไม่มีเวลามาดูแลให้ความอบอุ่นผมมากนัก จึงใช้เงินมาชดเชยให้เต็มที่ 

        ตอนเรียนมัธยมต้น เป็นช่วงวัยรุ่นที่เกเร ผมมักจะหนีเรียนไปเที่ยวเล่นเสมอ ส่วนใหญ่ก็ไปเล่นเกมในร้านเน็ต ขลุกอยู่กับพวกแกงค์วัยรุ่นขาโจ๋ทั้งวัน และช่วงนั้นผมยังเคยทำตัวชั่วขนาดเป็นหัวขโมยและตั้งตัวเป็นนักเลงเก็บเงินค่าคุ้มครองด้วย เรียนจบชั้นมัธยมต้นก็ไม่ได้เรียนต่อ ตอนนั้นผมออกมาเป็นลูกพี่ที่มีลูกน้องติดตามวันละสิบกว่าคนทุกวัน โลดแล่นอยู่ในแวดวงนักเลงประจำถิ่นนั่นแหละ  

        พ่อแม่เริ่มรู้สึกว่าถ้าปล่อยไว้ผมคงจะถลำลึกไปกว่านี้แน่ ดังนั้น ตอนผมอายุได้ ๑๗ ปี จึงถูกส่งไปหัดเป็นเซลล์ขายของอยู่กับอาที่เมืองหนานทง มณฑลเจียงซู สภาพแวดล้อมของชีวิตที่นั่นมันเปลี่ยนไปจากเดิมทั้งหมด เหมือนโลกใบใหม่ ผมซึ่งเคยเป็นลูกพี่ที่เรียนจบแค่มัธยมต้น พูดภาษาจีนกลางยังไม่ชัดเลย ต้องมากลายเป็นเด็กที่ขี้อายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แล้วผมก็ค่อย ๆ ชินและชักจะชอบชีวิตที่เรียบ ๆ และสงบแบบนี้ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

        จากนั้นผมก็มีแฟนและแต่งงานในเวลาต่อมา ช่วงนั้นเราได้เจอกับเรื่องเคราะห์ร้ายจนแทบจะเสียผู้เสียคนไปเลย เรื่องมีอยู่ว่า ในปี ค.ศ. ๒๐๐๙ ผมถูกเพื่อนที่ฉงชิ่งคนหนึ่งชวนไปเป็นเซลล์ด้วยกันที่ฝูเจี้ยน ตอนนั้นเราต้องออกไปลุยงานกันอย่างหนักทุกวัน หลังจากที่อดทนสู้งานอยู่นานเป็นเดือน ในที่สุดก็ค่อย ๆ สร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้

        แต่ความยากลำบากในปีนั้นก็ยังไม่ได้ทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่าไร กลับกลายเป็นว่ามีนิสัยเสียอย่างใหม่เริ่มเพาะตัวขึ้นมาอีก ช่วงตรุษจีน ตอนกลับบ้านที่ฉงชิ่ง เด็กหนุ่มที่ย่ามใจว่าประสบความสำเร็จแล้วอย่างผมก็เลยมือเติบซื้อของฝากของขวัญกลับบ้านมาเพียบ เป็นเงินนับแสนหยวน แถมยังเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อนฝูงที่บ้านเกิดอย่างสุรุ่ยสุร่ายอีก 

        ช่วงนั้นความโลภในวัตถุของผมมันพองโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วทีเดียว

        พอกลับมาทำงานที่ฝูเจี้ยนอีกครั้ง เพื่อที่จะสนองตอบกิเลสโลภของตัวเอง และเพื่อให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น ผมขายมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่อยู่กันมานานออกไป ใช้เงินที่เหลืออยู่ประมาณ ๓ แสนกว่าหยวน (ประมาณ ๑.๕ ล้านบาท) ซื้อรถยนต์มาคันหนึ่ง

        ธุรกิจที่ผมทำก็ดีวันดีคืน ในปี ค.ศ. ๒๐๑๐ มีโรงงานมาขอให้ผมช่วยขายของให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โอกาสทางการค้ามากมายหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

        พอถึงปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ผมเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพแล้ว พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนลงทุนด้วยกัน เราจึงเปิดบริษัทปล่อยสินเชื่อขึ้นที่ฉงชิ่ง บ้านเกิดของผมเอง หลังจากเปิดบริษัทสองปีแรก กิจการก็ไม่เลวนัก ชีวิตในทางวัตถุของผมก็ยิ่งอู้ฟู่ขึ้นไปอีก คราวนี้ผมซื้อรถหรูรถซิ่งมาขับเล่นเลย

        แต่ในปีที่สามเกิดวิกฤติทางการเงิน ธุรกิจตกต่ำลงอย่างหนัก มันซบเซาสุด ๆ เงินที่ปล่อยกู้ไปเรียกเก็บคืนมาไม่ได้เลย แถมยังมีเรื่องเงินยืม ๓.๘๕ ล้านที่เพื่อนไม่ยอมคืนให้อีก เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นลึก ๆ ในใจบ้างแล้ว


        ช่วงที่ติดอยู่ในห้องขัง มีคน ๓๐ กว่าคนถูกขังรวมกันอยู่ในห้องแคบ ๆ ขนาด ๕๐ ตารางเมตร มีช่องหน้าต่างเล็ก ๆ อยู่แค่ช่องเดียว กิน ขี้ เยี่ยวก็อยู่ในนั้นทั้งหมด คนที่เข้ามาใหม่ต้องทนนอนข้างส้วม ทั้งเหม็นทั้งสกปรก มันไม่ใช่ที่อยู่สำหรับมนุษย์เลย อยู่ในนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องราวข้างนอกเลย เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก มันทุกข์ทรมานอย่างมาก จนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเลยทีเดียว

        ผมติดอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนกับอีก ๗ วัน กล้ำกลืนฝืนทนจนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างยากเย็น ในที่สุดผมก็ถูกปล่อยตัวออกมา พอออกมาแล้วก็รู้สึกเลยว่าชีวิตมันดูว่างเปล่ายังไงไม่รู้ หลังจากผ่านความมืดมนมาเดือนกว่า เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าชีวิตเหมือนเสียศูนย์ไปแล้ว


        ช่วงนั้นเอง มีเพื่อนคนหนึ่งชวนผมไปฟังธรรม ทำให้ได้ไปฟังพระอาจารย์ท่านหนึ่งเทศน์ ท่านพูดถึงเรื่องกรรม ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่ก็อยากรู้จริง ๆ ว่าการที่ผมต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้มันเกิดจากกรรมอะไร

        ดังนั้น หลังจากเทศน์จบผมก็เข้าไปถามพระอาจารย์ เล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องของผม พระอาจารย์ก็ถามผมว่า "เขาทำเรา? หรือเราทำตัวเราเอง?" ผมงงจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร พระอาจารย์ก็เลิกคิ้ว ยกฝ่ามือขึ้นแล้วตีลงมาที่หัวผม การตีครั้งนั้นมันเหมือนได้กระเทาะใจผมให้เปิดออก พระอาจารย์ก็ยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า "ไม่ใช่เขามาโกงเธอหรอก แต่เธอถูกความขี้โลภของตัวเองหลอกต่างหาก เธออยากได้ดอกเบี้ย ส่วนเขาก็อยากได้เงินทุน" ผมรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นรดลงที่หัว มันรู้ตัวตื่นขึ้นมาในทันทีทันใด


        ผมติดตามฟังธรรมจากพระอาจารย์อีกหลายครั้ง ได้รู้จักกับรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยฉงชิ่งคนหนึ่ง และได้ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายปฏิบัติธรรมที่วัดตงหลินจากรุ่นพี่คนนี้ด้วย

        ผมกลับมาปรึกษากับครอบครัวที่บ้าน ขอไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรมกับรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยอีก ๘ คน ทีแรกก็กะว่าจะไปลองเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมดูบ้างเท่านั้น แต่พอมาถึงที่วัดตงหลินแล้วจึงพบว่ามีความรู้มากมายและได้ประสบการณ์ที่ดีอย่างมาก

        ตอนมาถึงวัดตงหลินแรก ๆ นั้น ยังปรับตัวไม่ทัน ปัญหาที่หนักที่สุดของผมไม่ใช่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกอะไรหรอก แต่เป็นเรื่องที่ต้องตื่นมาทำวัตรตั้งแต่ตีสี่ครึ่งนี่แหละ

        ผมเคยชินกับการนอนดึกตื่นสายมานานหลายปี กลางคืนเป็นแมวตาค้างกลางวันเป็นหมีแพนด้าตาดำอย่างผม ปุบปับต้องมาใช้ชีวิตในวัดที่ต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึง ดับไฟนอนตั้งแต่สามทุ่ม มันปรับตัวไม่ทันจริง ๆ แต่ก็แปลก หลังจากผ่านไปสามวันก็ค่อย ๆ ชินขึ้นมาบ้าง เวลานี้ผมเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง มันเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา


        เวลากินอาหารครั้งแรกที่วัดทำให้ผมรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นการกินที่เรียบง่ายและประหยัดอย่างไม่น่าเชื่อ ต่างจากการกินข้าวโดยปกติของเราอย่างสิ้นเชิง คือปกติเราจะกินกันชนิดที่มีอาหารเต็มโต๊ะและสิ้นเปลืองมาก ผมไม่คิดเลยว่าจะมีการกินอาหารแบบนี้ได้ด้วย

        หลังรับประทานอาหารผมอาสาไปช่วยล้างจานในครัว การทำงานที่นั่นทำให้ผมประทับใจอย่างมาก อาสาสมัครและผู้มาเข้าค่ายทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะช่วยกันทำงาน ต่างจากคนที่ผมเคยพบเจอข้างนอก ส่วนตัวผมนั้นเมื่อตอนอยู่บ้านก็มีแต่คนทำให้ ทั้งซักผ้า ทำกับข้าว ล้างจาน ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องทำงานพวกนี้ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าการไปล้างจานที่ครัวจะทำให้ผมเหงื่อออกเต็มหลังทุกครั้ง แต่พอทำงานเสร็จแล้วจะรู้สึกอิ่มเอมใจและมีความสุขทุกครั้ง

        ในวันที่สามเราได้ไปร่วมงานกับกลุ่มช่วยสวดมนต์ให้แก่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย พอดีมีผู้ป่วยชราสองคนที่นอนรอวันตายอยู่บนเตียง พวกท่านก็ยังพยายามสวดมนต์อยู่อย่างไม่ลดละ ไม่รู้ทำไม ภาพที่เห็นทำให้ผมนิ่งอึ้งและน้ำตาไหลเอ่อออกมาอย่างไม่รู้ตัว

        หัวข้อหลักของค่ายปฏิบัติธรรมครั้งนี้คือ ชีวิตคนคู่ในศาสนาพุทธ เนื้อหาหลักเกี่ยวกับศีลข้อสามคือการไม่ทำผิดประเวณี เราฟังธรรมจากพระอาจารย์และฆราวาสหลายท่าน ผมเอามาคิดเทียบกับประสบการณ์ของตัวเองแล้วเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่าการผิดศีลข้อสามมันน่ากลัวอย่างไร จึงตัดสินใจว่าจะตั้งใจศึกษาและปฏิบัติศีลให้ดี และต่อไปนี้จะพูดจะทำอะไรกับใคร ที่ไหน เมื่อไร ก็ต้องสังวรรู้ตัวอยู่เสมอ

อุบาสกจิ้งหาว

        วันที่สี่ของค่ายมีพิธีรับศีลห้าและปวารณาตัวต่อพระรัตนตรัย โดยพระอาจารย์ใหญ่มาเป็นประธานในพิธีด้วยตนเอง ทันทีที่ทราบเรื่องนี้ผมก็สมัครเข้าพิธีอย่างไม่ลังเลใจเลย และก็ได้รับการตั้งชื่อทางธรรมเป็นครั้งแรกว่า 净豪 (จิ้งหาว หมายถึง บริสุทธิ์และเด็ดเดี่ยว) ในคำสอนของท่านเหลี่ยวฝานกล่าวไว้ว่า "เมื่อวานก็ให้มันตายไปเมื่อวาน วันนี้ก็ให้มันเกิดใหม่วันนี้" ผมได้เกิดใหม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว

        ย้อนกลับไปดูชีวิตที่ผ่านมา ๓๐ ปีของตัวเอง ผมหวังว่าทุกท่านจะไม่เป็นอย่างผมในอดีต ที่มุ่งเอาแต่ไล่ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ ดังที่ในคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสอนไว้ว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงมายา เป็นฟองน้ำ เพียงสัมผัสโดนเข้ามันก็แตกสลายไป ผมจะพากเพียรในการปฏิบัติธรรม จะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมที่ได้ร่ำเรียนนี้ให้สืบทอดต่อไป และให้คนรอบข้างได้เรียนรู้พุทธธรรมไปด้วย

        ผมจะพากเพียรสร้างเสริมศรัทธาตั้งมั่น สั่งสมกุศล จนกว่าจะถึงวันที่ได้ไปสู่แดนสุขาวดีของพระพุทธเจ้า อมิตาพุทธ!


เขียนโดย 净豪
ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20170829A0FCU100

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...