28 ส.ค. 2560

ทุกข์สุขของใครก็ตาม ล้วนเกิดแต่เหตุทั้งสิ้น



        คนเลี้ยงสัตว์ผู้หนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งปศุสัตว์อันห่างไกลมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเขาได้บังเอิญมีโอกาสเข้าไปในเมืองใหญ่ที่ทันสมัย เขาพบว่าคนในเมืองต่างก็ใช้หลอดไฟกันทั้งนั้น เขาจึงคิดว่า "สิ่งที่ให้ความสว่างนี้ดีจริง ๆ ฉันควรจะซื้อกลับไปบ้านสักอัน จะได้ไม่ต้องจุดตะเกียงน้ำมันทุกคืนอีก"

        ดังนั้นเขาจึงได้ซื้อหลอดไฟกลับไปบ้านที่ชนบทด้วยหนึ่งหลอด เอาไปแขวนไว้ในกระโจมอย่างมีความหวัง แต่หลังจากแขวนท่าโน้นท่านี้อยู่นาน หลอดไฟก็ไม่สว่างสักที

        เมื่อตอนที่เห็นหลอดไฟมีแสงสว่าง คนเลี้ยงสัตว์ผู้นี้ก็คิดอย่างปักใจแล้วว่า แค่ซื้อหลอดไฟกลับไปก็จะมีแสงสว่างแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจเหตุที่แฝงซ่อนอยู่เบื้องหลัง หลอดไฟนั้นสว่างได้เพราะมีเหตุเบื้องปลาย แต่จะมีแสงขึ้นมาได้ยังต้องอาศัยเหตุเบื้องต้นคือไฟฟ้าและสายไฟด้วย

        อันที่จริง ทุกข์สุขของทุกชีวิตก็ขึ้นอยู่กับเหตุเบื้องปลายและเหตุเบื้องต้นเหมือนกัน ตาเนื้อของเรามองเห็นก็แต่เหตุเบื้องปลายที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น มองไม่เห็นเหตุเบื้องต้นที่แฝงซ่อนอยู่ข้างหลัง

        เป็นต้นว่าเราเห็นคนคนหนึ่งร่ำรวยขึ้น เราก็เห็นแค่ว่าเขาขยันพากเพียรและฉวยคว้าโอกาสได้จึงร่ำรวย แต่ไม่เห็นหรอกว่าในชาติปางก่อนเขาได้สั่งสมบุญบารมีมาอย่างไร

        อาจจะมีบางคนคิดว่า "ความร่ำรวยไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับบุญบารมีเลย ก็แค่ขยันพากเพียรก็ได้แล้ว"

        ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อยว่า เหตุใดเราจึงยังเห็นคนมากมายที่ทั้งชีวิตตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขยันขันแข็ง ออกจากบ้านแต่เช้ากว่าจะกลับก็ค่ำ ทุ่มเทกายใจไปกับการทำมาหาเงิน แต่ชีวิตก็ยังยากลำบากอยู่ ได้มาก็แค่พอประทังไปเท่านั้น ไม่มีเหลือกินเหลือใช้สักเท่าไร

        รอบ ๆ ตัวเราคงต้องมีคนที่เป็นอย่างนี้อยู่ไม่น้อยเลย พวกเขาคิดหาทางสะสมต่าง ๆ นานาสารพัด ใช้กลวิธีทุกอย่างเพื่อแสวงหาเงินทอง เป็นการดิ้นรนที่เปรียบได้กับการ "เค้นเอาเลือดจากก้อนหิน สูบเอาไขกระดูกจากร่างนก" ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว แต่ชีวิตก็ยังไม่สุขสมหวังดังปรารถนา

        อาจจะมีบางคนบอกว่า "เป็นไปได้มั้ยว่าพวกเขาไม่มีความสามารถ ไม่มีความฉลาดพอ จึงไม่ประสบความสำเร็จ"

        จริง ๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คนเราต่อให้ขยันแค่ไหน ฉลาดแค่ไหน เก่งแค่ไหน แต่ถ้าบุญบารมีไม่ถึง ก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จดังใจหวังได้

        ต่อให้ได้ลาภได้ทรัพย์มาบ้างเป็นบางคราว ก็ไม่สามารถครอบครองไว้ได้นานนัก มีอยู่ได้สักพักก็ต้องสูญสิ้นไป

        ในทางกลับกัน มีคนบางคนที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แต่ก็ได้ข้าวของต่าง ๆ มาครอบครอง เงินทองก็ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหา มีทรัพย์ก็ไม่ค่อยสูญสิ้น ไม่ว่าจะไปทางไหน โภคลาภก็ดูเหมือนจะรออยู่ที่นั่น นี่คือผลแห่งบุญบารมีในชาติปางก่อนของพวกเขา

        สมัยนี้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องผลวิบากแห่งกรรม หาเงินไม่ได้ ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็โทษฟ้าบ้าง โทษคนอื่นบ้าง เช่นโทษพ่อแม่ โทษหัวหน้า โทษเจ้านาย โทษนโยบาย โทษไปถึงพระผู้เป็นเจ้าเลยก็มี

        ในอินเตอร์เน็ตมีคำที่พูดกันบ่อย ๆ ว่า "เสียดายพ่อกูไม่ใช่หลี่กัง" มีบางคนคิดอย่างนั้นจริง ๆ ว่า เจ็บใจที่พ่อเราไม่ใช่ลีกาชิง (มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง) ไม่ใช่หลี่กัง (นายตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่ลูกชายขับรถชนแล้วพูดว่าพ่อกูคือหลี่กัง) อันที่จริง ตามกฎแห่งกรรม ชาตินี้พ่อเราจะเป็นอะไรก็เกิดจากกรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อน ดังนั้น จึงไม่ต้องโทษเหตุปัจจัยภายนอกอะไรเลยแม้แต่น้อย เราทำมาเองทั้งนั้น และควรที่จะเร่งทำกุศลสร้างบุญบารมีเสียตั้งแต่บัดนี้

        ทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่สร้างวิบากกรรมอันน่ากลัวโดยไม่รู้ตัว เพียงเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าเล็กน้อยเท่านั้นเอง พฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมอย่างนี้ดูแล้วช่างน่าหวาดเสียวจริง ๆ ในพระธรรมบทกล่าวไว้ว่า "เหมือนการหว่านเมล็ดทุกข์ก็ย่อมจะได้ผลเป็นทุกข์ ทำอกุศลย่อมได้ผลเป็นอกุศล" ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาเงินทองกันเกินไป จนทำตัวเองให้กลายเป็นก้อนหินที่จมดิ่งลงไปในห้วงลึกแห่งบาปกรรมอันน่ากลัว

        สำหรับยุคนี้ ความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องกรรมมีความสำคัญอย่างมาก ถ้าทุกคนต่างรู้ตัวเองว่าควรประพฤติตนตามหลักของกรรม เจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่คอรัปชั่น ไม่กินสินบน พ่อค้านักธุรกิจก็จะไม่ทำสินค้าปลอมมาหลอกขาย... ถ้าทุกคนเชื่อเรื่องกรรมอย่างแท้จริง โลกนี้ก็จะกลายเป็นสวรรค์บนดินอย่างแน่นอน


เขียนโดย 玄空
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170814/036396.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...