ภาพประกอบจาก http://www.xaiu.edu.cn/info/397/190123.htm |
ศาสตราจารย์ว่านเฉิงขุย (万承奎) แห่งมหาวิทยาลัยกองทัพภาคที่สี่ของจีน เกิดปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เป็นชาวมณฑลเจียงซี เป็นผู้เชี่ยวชาญการศึกษาด้านสุขภาพและสาธารณสุข ปัจจุบันมีอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว แต่ยังรับเชิญเป็นวิทยากรไปบรรยายตามองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน เรื่องแนวคิดใหม่ด้านสุขภาพแห่งศตวรรษที่ ๒๑ และการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง
ตอนที่ท่านมีอายุ ๗๐ ปี เวลามีคนมาถามถึงอายุ ท่านจะตอบว่า ๓๕ ปี ท่านไม่เพียงแต่ดูอ่อนวัยเหมือนคนอายุ ๓๕ ปีเท่านั้น ผลการตรวจวัดค่าความดันโลหิต ไขมันในเส้นเลือด ตลอดจนการทำงานของหัวใจและอวัยวะภายในต่าง ๆ ก็มีค่าเทียบเท่ากับคนอายุ ๓๐ กว่าปีด้วย
ปัจจัยของความแข็งแรงและอายุยืนนั้น ๖๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ในวัย ๗๐ ปี ศาสตราจารย์ว่านทำอย่างไรจึงดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาเหมือนคนอายุ ๓๕ ปี
ท่านได้สรุปไว้เป็นวลีสั้น ๆ ว่า "อย่ากินข้าวด้วยปาก แต่กินด้วยสมอง สารอาหารมากเกินไปจะกลายเป็นพิษ และไม่กินข้าวเย็น"
ไม่กินข้าวเย็น ความหิวเป็นยา
ศาสตราจารย์ว่านมีแนวคิดในการดูแลสุขภาพหลายอย่างที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง การงดอาหารมื้อเย็นก็เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งของการ "หยุดวัยไว้ที่ ๓๕ ปีตลอดกาล" ของท่าน หนังสือพิมพ์ "จิงเป้า" ของเมืองเซินเจิ้นเคยลงพาดหัวบทความว่า "ไม่กินข้าวเย็น ความหิวเป็นยาสารพัดโรค" เป็นรายงานแนวคิดในการดูแลสุขภาพของศาสตราจารย์ว่านเฉิงขุย
ศาสตราจารย์ว่านกล่าวว่า การกินอาหารมื้อเย็น เป็นสาเหตุหนึ่งของการเจ็บป่วยของมนุษย์ และเป็นสาเหตุของการรักษาโรคต่าง ๆ ไม่หายด้วย
คนจำนวนมากคิดว่า เวลาเย็นหรือค่ำเมื่อหิวแล้วก็ต้องกิน จริง ๆ แล้วมันไม่ถูกต้องเลย ช่วงเย็นถึงค่ำแม้หิวก็ไม่ต้องกินอาหารต่างหากจึงจะเป็นการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง การแพทย์แผนจีนและศาสนาพุทธต่างก็พูดตรงกันว่า "งดอาหารหลังเวลาเที่ยงวัน" คำว่า "เที่ยงวัน" ก็คือช่วงเวลา ๑๑ - ๑๓ นาฬิกา หมายความว่าเมื่อเลยเวลาบ่ายโมงไปแล้วก็จะไม่กินอาหารอีก
แล้วถ้าเกิดหิวขึ้นมาล่ะ? ก็สามารถดื่มน้ำผลไม้ กินผลไม้ เหตุที่การแพทย์แผนจีนและศาสนาพุทธสนับสนุนการไม่กินอาหารมื้อเย็นนั้น ไม่ใช่เพื่อจะประหยัดอาหาร แต่เพื่อรักษาสุขภาพ
คนเราถ้าไม่ได้กินอาหารเย็นก็จะรู้สึกหิวเป็นธรรมดา แต่ผลของมันจะเหมือนกับการกินซุปเรียกน้ำย่อย ดังนั้น คุณจึงไม่ได้ขาดทุนอะไร เพราะมันเท่ากับว่าคุณได้กินซุปเรียกน้ำย่อยแบบฟรี ๆ นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้คุณเป็นรางวัล แล้วคุณจะไม่รู้สึกดีใจบ้างหรือ?
ผลที่ตามมาอีกอย่างคือ คุณจะหิวอยู่ชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น แต่ไขมันในตัวคุณจะค่อย ๆ ถูกสลายไป คุณจะค่อย ๆ ผอมลง นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมการไม่กินข้าวเย็นและความหิวเป็นยารักษาโรคได้
กินด้วยสมอง
"กินด้วยท้องคือกินให้อิ่ม กินด้วยปากคือการเสพรสอร่อย กินด้วยสมองคือการรักษาสุขภาพ"
กินข้าวอย่ากินด้วยปาก ให้กินด้วยสมอง ทำอย่างไรน่ะหรือ ต้องจำไว้ว่า "กินได้ใช่ว่าจะแข็งแรง กินเป็นจึงจะแข็งแรง กินมั่วจะป่วยเป็นโรค"
คนส่วนใหญ่มักไม่ได้แก่ตาย ไม่ได้ป่วยตาย แต่อารมณ์เป็นพิษตาย
ปุถุชนมีหรือที่จะไม่รู้จักโกรธ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอารมณ์ความรู้สึก ทั้งชอบ ชัง วิตกกังวล ครุ่นคิด โศกเศร้า เสียใจ กลัว ตกใจ ฯลฯ ชอบใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้ โกรธขึ้นมาก็ด่าว่า เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ทั่วไป
อารมณ์ของมนุษย์นั้นมีมากมาย อยากแสดงอะไรก็แสดง แต่ต้องจำไว้ว่า ข้อแรก อย่าแสดงอารมณ์รุนแรงเกินไป ข้อสอง ถ้าแสดงออกรุนแรงไปแล้วก็อย่าเก็บอารมณ์นั้นไว้นาน ต้องรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์ จึงจะมีสุขภาพดีได้
ในตำราการแพทย์จีนโบราณก็มีกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า "ความโกรธทำลายตับ ความลุ่มหลงทำลายหัวใจ ความกังวลทำลายปอด ความเครียดทำลายม้าม ความกลัวทำลายไต โรคต่าง ๆ ล้วนเกิดมาจากอารมณ์เป็นเหตุ"
คนเรายากที่จะไม่โกรธใครเลยได้ แต่จะต้องแสดงความโกรธให้เป็น อย่าตกเป็นเชลยของอารมณ์ จะต้องเป็นนายของอารมณ์ ต้องสามารถควบคุมอารมณ์ให้ได้ อย่ายอมให้อารมณ์ควบคุมเรา
อาหารที่ดีที่สุดในโลกคือมันเทศ
ขอให้ท่านจำเอาไว้ว่า การกินอาหารที่มาจากพืชให้ได้ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ อาหารที่มาจากสัตว์เพียง ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว
ทุกวันนี้คนเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ กันมากขึ้น เราจึงต้องกินผัก กินผลไม้ให้มาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ สมัยนี้ หลายคนไม่กินผัก ไม่กินผลไม้ ขอให้จำไว้ว่าในแต่ละวันต้องกินผลไม้ให้ได้ ๔ อย่าง กินผักให้ได้ ๓-๕ อย่าง จะช่วยป้องกันมะเร็ง รักษาหัวใจ นี่คือยุทธศาสตร์ด้านโภชนาการของศตวรรษที่ ๒๑
มันเทศเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นประเทศที่คนเป็นมะเร็งมากที่สุดในโลก เพื่อที่จะลดการป่วยเป็นมะเร็ง คนญี่ปุ่นจึงแสวงหาวิธีการต่าง ๆ นานามากมาย ผิดพลาดล้มเหลวมามาก จนในที่สุดก็ค้นพบวิธีที่ได้ผล พวกเขาทำการคัดเลือกพืชผักต่าง ๆ ออกมาเป็น ๒๐ ชนิดที่สามารถต้านมะเร็งได้ และอันดับหนึ่งก็คือมันเทศ *
สารอาหารมากไปก็เป็นพิษ
การกินอาหารในแต่ละวันควรจำไว้ว่า
- กินผักทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๔๐๐-๕๐๐ กรัม
- กินผลไม้วันละ ๒ ชนิด
- กินน้ำมันวันละ ๓ ช้อน หรือไม่เกิน ๒๕ กรัม
- กินข้าววันละ ๒๐๐ กรัมหรือหมั่นโถววันละ ๔ ลูก
- และกินโปรตีนจากพืชให้เพียงพอต่อร่างกาย
- ดื่มน้ำวันละ ๘ แก้ว เพราะน้ำคือชีวิต คนสมัยนี้กินน้ำไม่ค่อยเป็น คือจะดื่มน้ำเมื่อกระหายเท่านั้น จริง ๆ แล้วเราต้องดื่มน้ำบ่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง
เปลี่ยนจากน้ำเป็นน้ำชาแทนได้มั้ย? ไม่ได้ ทั้งชา กาแฟ เบียร์ ไม่สามารถแทนที่น้ำได้ ถ้าจะดื่มชาให้ดื่มชาอ่อน ๆ อย่าดื่มชาเข้ม จำเอาไว้ว่าน้ำคือชีวิตของคน
เมาหนึ่งครั้งก็เท่ากับเป็นตับอักเสบหนึ่งหน
หนึ่งในพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพอย่างมากก็คือ การดื่มสุรา การดื่มเหล้าจนเมามายหนึ่งครั้ง เท่ากับทำให้ตับอักเสบหนึ่งหน จำไว้ว่า กินเหล้าไม่ได้ทำร้ายเฉพาะตับเท่านั้น คนกินเหล้ามาก ๆ ทำให้ความจำแย่ลง การรับรู้ต่าง ๆ ของประสาทจะเสื่อมลงด้วย เพราะเซลล์ในสมองจำนวนมากจะตายเพราะการกินเหล้า
ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20170721A00JMF00
หมายเหตุ การชี้ขาดว่าอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผลดีที่สุดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ผู้อ่านควรพิจารณาและตรวจสอบเองด้วยความรอบคอบก่อนจะปักใจเชื่อ ทั้งนี้เพราะผลการทดสอบหรือวิจัยในขอบเขตหนึ่งไม่จำเป็นต้องได้ผลอย่างเดียวกันในขอบเขตหรือพื้นที่อื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากที่ทำให้เราพึงสังวรในการนำผลลัพธ์จากการวิจัยในที่หนึ่งมาใช้กับอีกที่หนึ่งด้วย เช่น ยุคสมัย ลักษณะทางพันธุกรรมของกลุ่มชนที่เป็นผู้รับการทดสอบ สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมในเขตที่ทำการวิจัย ดังนั้น เราจึงควรเรียนรู้ข้อมูลแล้วตรวจสอบหรือทดสอบด้วยตัวเองภายใต้เงื่อนไขจริงของเราเองดีที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น