10 ส.ค. 2560

เหตุใดผมจึงเป็นมังสวิรัติ WUN Kam Hoi



        มิสเตอร์เวิน (WUN Kam Hoi) อดีตหัวหน้าภาคพื้นแปซิฟิคของบริษัทเอทีแอนด์ทีได้มาเยี่ยมบริษัทของเราในวันนี้ ปัจจุบันเขาเป็นประธานบริษัทสิ่งพิมพ์แห่งหนึ่งในฮ่องกงที่มีทรัพย์สินหลายร้อยล้าน เป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าฉายแววเมตตา

        อาหารมื้อกลางวันนี้ผมเป็นเจ้าภาพ เขาเป็นแขก เศรษฐีพันล้านจะกินอะไรนะ? ผมรู้สึกมืดไปเจ็ดแปดด้าน ที่เมืองจูไห่ของเรานี่แม้จะมีอาหารทะเลและของป่ามากมาย แต่ถ้าโจทย์คือจะเสิร์ฟอาหารอะไรให้คนอย่างประธานเวินพอใจ ควรจะเสิร์ฟอะไรดีนะ?

        ใครจะคิด ประธานเวินจะกระซิบบอกเราเบา ๆ ว่า "ถ้าคุณสะดวกนะ ผมขอกินมังสวิรัติ" ดังนั้น พวกเราจึงไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ภัตตาคารอาหารฝรั่งที่อยู่ข้างโรงแรม

        มีผู้ร่วมโต๊ะอาหารทั้งหมด ๔ คน เราสั่งอาหารชุด ๔ ชุด ของพวกเรา ๓ ชุดมีทั้งผักและเนื้อสัตว์ ส่วนของประธานเวินเป็นมังสวิรัติล้วน ๆ

        ในระหว่างรับประทานอาหาร ผมขอให้ประธานเวินแนะนำข้อดีของการกินมังสวิรัติให้ฟัง ท่านจึงได้อธิบายเหตุและผลของการกินมังสวิรัติให้ฟังพอประมาณ ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับนับถือจริง ๆ

        หลักการง่าย ๆ


        เมื่อคุณได้เข้าใจจริง ๆ ว่าเนื้อสัตว์นั้นไม่สะอาดและเป็นซากศพที่สามารถแพร่เชื้อโรคได้ คุณจะยังกลืนกินมันลงไปได้อย่างหน้าตาเฉยอีกหรือไม่?

        พอพูดถึงการกินมังสวิรัติ ผมก็จะถูกหลาย ๆ คนถามถึง "การปฏิบัติธรรม" และทำให้เรื่องมันเฉไฉออกไปไกล จนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมก็มักจะคิดถึงบทสนทนาอันหนึ่งตอนไปประชุมที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการคุยกันอย่างง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน มันง่ายกว่าการพูดถึงการปฏิบัติธรรมมาก วันนั้นพวกเขาเพิ่งรู้ว่าผมเป็นมังสวิรัติ

        "คุณจะไม่กินอะไรเลยหรือ?" (ทุกคนต่างเชิญชวนกันกินอาหาร และมีคนหนึ่งที่เอ่ยปากถามออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ)

        "เมื่อกี้นี้ผมกินแอปเปิ้ลไปแล้วลูกนึง" (ผมตอบอย่างสุภาพ)

        "เขาเป็นมังสวิรัติ" เพื่อนร่วมงานของผมโยนระเบิดเข้ากลางวง การสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศอย่างมีมารยาทดูไม่น่าสนใจไปเลยพอมีเรื่องนี้เข้ามา ทุกคนหันมามองผมเหมือนเห็นม้าลายตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางโต๊ะ 

        "คุณนับถือศาสนาอะไรหรือเปล่า?" (ทำไมต้องถามคำถามแบบนี้กันทุกทีเลยนะ)

        "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ก็แค่วิถีชีวิตมันต่างออกไปนิดหน่อยเท่านั้น หลักการของผมนั้นง่ายนิดเดียว คือพยายามไม่ทำร้ายคนอื่น"

        "แต่สัตว์ไม่ใช่คนนะ"

        "เราโตมาด้วยการกินนมวัว พวกมันต้องถูกใช้แรงงานอย่างหนักในการเพาะปลูกพืชผักให้พวกเรากิน เมื่อมันร่ำร้องวอนขอเราว่าอย่าได้ฆ่ามันหรือลูกของมันเลย เราจะยังลงมือสังหารมันได้หรือ? เราจะทำได้ลงคอเชียวหรือ? ---

        "ตอนเป็นเด็กเราคงเคยเล่นเกมนกอินทรีย์จับลูกเจี๊ยบกิน เราน่าจะเข้าใจได้ว่าแม่ไก่มันไม่อยากให้ลูก ๆ ของมันถูกทำร้าย พวกสัตว์มันสู้เราไม่ได้หรอก แต่เราคงไม่คิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเราไปรังแกคนอื่นหรอกนะ"

        "ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่ชอบที่พวกเรากินเนื้อกัน"

        "ผมจะไม่เอามีดไปจ่อคอหอยคุณอย่างนั้นหรอก เรื่องนี้ก็เป็นหลักการง่าย ๆ อย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าคุณชอบกินแอปเปิ้ลแต่ผมบังคับให้คุณกินสาลี่ มันก็เป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง ---

        "คุณมีความสุขในแบบของคุณ ผมมีความสุขในแบบของผม โลกก็มีสันติสุข เพียงแต่คุณต้องเข้าใจว่าตัวคุณเองกำลังทำอะไรอยู่ ผลของมันคืออะไร และยอมรับผลนั้นได้ คุณก็มีสิทธิ์เลือกชีวิตแบบที่คุณต้องการ ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกับผม"

        "แต่ว่าคุณไม่ทำร้ายคนอื่น คนอื่นก็ยังทำร้ายคุณอยู่ดี"

        "คุณคงจะไม่ไปขโมยจักรยานคนอื่นเพียงเพราะว่ามีคนอื่นมาขโมยจักรยานของคุณไปหรอกนะ"

        "ที่เขาเลี้ยงไก่กันมากมายไม่ใช่เลี้ยงไว้ให้คนกินหรอกหรือ?"

        "ในช่วงสงครามระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ (ของอเมริกา) มีคนบอกว่าคนผิวดำเป็นทาสโดยกำเนิด ลูกของเขา และลูกของลูกของเขาก็เป็นทาสโดยกำเนิด"

        "ผมนับถือคุณจริง ๆ มีอาหารอร่อย ๆ อยู่ตรงหน้ามากมายคุณยังอดใจไว้ได้"

        "ผมไม่ได้ทรมานตัวเองเลย อาหารพวกนั้นไม่ดูน่ากินสำหรับผม ผมไม่จำเป็นต้องอดใจอะไรเลย เมื่อกี้ผมกินแอปเปิ้ลมาแล้วหนึ่งลูก มันทั้งหวานทั้งฉ่ำ นอกจากนี้ ทุกคนก็ยังแสดงความเป็นห่วงว่าผมจะกินอิ่มหรือไม่ ได้สารอาหารพอหรือไม่ แค่นี้ความดีเล็กน้อยที่ผมทำก็ได้รับผลตอบแทนแล้วมากมาย โลกนี้ยุติธรรมจริง ๆ "

        "คุณน่าจะนับถือศาสนาอะไรสักอย่าง"

        "เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย เป็นแค่หลักการง่าย ๆ บางอย่างเท่านั้น ผมไม่สามารถสอนลูกของผมว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนของมนุษย์ได้ทั้ง ๆ ที่ปากยังกัดกินน่องไก่อยู่ การทำอย่างนั้นนอกจากจะไม่สามารถสอนความมีเมตตากรุณาได้แล้ว ยังเป็นการสอนให้เขาโกหกอีกต่างหาก เพราะปากกับใจเราไม่ตรงกัน มีหลายเรื่องที่เราเรียนกันมาแล้วตั้งแต่ชั้นอนุบาล เช่น ทุกคนบนโลกเป็นเพื่อนกัน พูดโกหกเป็นเด็กไม่ดี เรื่องของตัวเองต้องทำด้วยตัวเอง ต้องมีมารยาท รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งใจเล่าเรียน มีความขยันหมั่นเพียร รักความสะอาด ฯลฯ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหลักการง่าย ๆ พื้น ๆ แต่ต้องเอาไปทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้นแล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ อยู่"



        เรื่องมันผ่านมานานแล้ว มีอีกหลายเรื่องที่ผมก็จำไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่ออกนอกหัวข้อของการนำหลักการง่าย ๆ เหล่านี้มาใช้ในชีวิตและการทำงาน หลักการง่าย ๆ ที่ถูกนำมารื้อฟื้นนี้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาต่อเนื่องมาถึงช่วงบ่าย และอาจจะขยายต่อไปสู่ชีวิตของพวกเขาบางคนด้วยก็ได้ มีคนจำนวนมากที่ทำไม่ได้แม้แต่เรื่องที่เด็ก ๆ ทำได้ ไม่เข้าใจเรื่องที่แม้แต่เด็ก ๆ ก็เข้าใจ แต่กลับพูดถึงแต่ปรัชญาหรือธรรมะยาก ๆ เรื่องซับซ้อนแบบนั้นปล่อยให้ "นักปฏิบัติธรรมรุ่นใหญ่" เขาพูดกันไปเถอะ ขอให้เรามีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ทำงานให้มาก พูดให้น้อย นี่ก็เป็นหลักการง่าย ๆ อย่างหนึ่งเหมือนกัน

        ผมมาเป็นนักมังสวิรัติได้อย่างไร


        ในช่วงที่ผมค่อย ๆ เริ่มลดการกินเนื้อสัตว์และกินมังสวิรัตินั้น ผมไม่เคยทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการ "ยอมอด" เลย ผมไม่เคยบังคับตัวเองให้เลิกกินอาหารชนิดใดเลย ถึงแม้ผมจะเชื่อว่าคนเราต้องใส่ใจดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เป็นความเชื่อส่วนตัว แต่การเลิกกินเนื้อสัตว์ของผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเชื่อถือนี้เลยแม้แต่น้อย

        ผมไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดและไม่กินยาเม็ดวิตามิน ก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีมาได้ครึ่งค่อนชีวิต ผมไปเที่ยวอเมริกาหลายครั้ง ได้กินอาหารในร้านอาหารหรือบ้านคนอื่นบ่อย ๆ แม้บนโต๊ะอาหารจะมีเนื้อสัตว์อยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีผลต่อการกินและอารมณ์ความรู้สึกของผมเลย ในระหว่างการเลิกกินเนื้อสัตว์มาเป็นมังสวิรัติ ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำความลำบากทรมานให้ผมเลย ไม่เคยมีความรู้สึกถูกบีบบังคับเลย

        ในระหว่างการเดินทางครั้งหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งขณะกำลังกินตับย่างอยู่ กินไปได้สองสามคำก็รู้สึกว่ารสชาติมันแปลก ๆ จึงใช้มีดผ่าดู ทำให้ผมตกใจอย่างมาก มันมีตุ่มหนองในเนื้อตับที่เป็นรังของหนอนอยู่ในนั้น แม้ว่าจะสุกแล้วก็ตาม นับแต่นั้นมา แค่เห็นตับผมก็รู้สึกหมดความอยากอาหารทันที

        เดิมทีผมชอบกินสเต็กเนื้อบดมาก คือเนื้อที่บดด้วยเครื่องบดจนละเอียด ตอนนั้นผมได้ยินมาว่าพ่อค้าเนื้อมักจะใส่ของบดคุณภาพต่ำอย่างอื่นปนเข้าไปกับเนื้อด้วย ผมจึงต้องเลือกชิ้นเนื้อสวย ๆ ด้วยตัวเองทุกครั้ง แล้วสั่งให้คนขายบดให้ดูต่อหน้า รู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากแล้วที่ทำอย่างนั้น

        มีอยู่วันหนึ่ง ผมจึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วผมไม่ฉลาดเอาซะเลย ผมกำลังรอคิวต่อท้ายชายคนหนึ่งในแถว รอคนขายบดเนื้อหมูให้เขาอยู่ ด้วยเครื่องบดเนื้อเครื่องเดียวกัน ไม่มีการฆ่าเชื้อ ไม่ทำความสะอาด ข้างในเครื่องบดนั้นเป็นอย่างไรผมก็พอจะนึกออกได้ไม่ยาก ตอนนั้นเองผมถึงเข้าใจว่าคนข้างหน้าได้เหลือเนื้อหมูของเขาให้ผมครึ่งปอนด์ และเนื้อครึ่งปอนด์ของผมที่ผสมกับเนื้อของคนก่อนหน้าก็จะเหลือไว้ให้กับลูกค้าคนต่อไปอีก นับแต่นั้นมา สเต็กเนื้อบดก็ไม่เคยเป็นของน่ากินสำหรับผมอีกเลย

        แม้ว่าผมจะไม่กินสเต็กเนื้อบดแล้ว แต่ผมก็ยังชอบกินเนื้อวัวอยู่ จนมีเหตุการณ์หนึ่งที่สั่นสะเทือนผมอย่างมาก ทำให้ผมตัดขาดจากเนื้อวัวอย่างเด็ดขาด

        เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนบ้านของผมได้เลือกซื้อแม่วัวที่สุดยอดจากคอกวัวไว้ตัวหนึ่ง เอาไว้เป็นวัวให้นมสำหรับเขากินดื่มเอง วันหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาทำการตรวจสอบแล้วบอกว่าวันตัวนั้นเป็นวัณโรค สั่งให้เอาไปฆ่าทิ้งเสีย เพื่อนบ้านผมไม่เชื่อ ทำเป็นไม่สนใจคำสั่ง ต่อมา เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งมาตรวจสอบอีก ผลออกมาก็เหมือนเดิม

        เพื่อนบ้านผมก็ยังคงไม่ยอมเชื่อ เขาแอบส่งวัวตัวนั้นไปที่โรงฆ่าสัตว์ที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง ได้รับอนุญาตให้ฆ่าได้ และเห็นการเชือดด้วยตาตัวเอง จึงได้เห็นปอดข้างหนึ่งที่เป็นโรคและเน่าเสียอยู่ในนั้น

        พอกลับมาถึงบ้าน เขารู้สึกเศร้าใจมาก เขาได้เงินจากวัวตัวนั้นไม่น้อยเลย มากกว่าค่าปุ๋ยในปริมาณที่เท่ากันเสียอีก แต่ทว่า เขายังคิดอยู่เสมอว่า ส่วนอื่น ๆ ของวัวตัวนั้นจะมีเชื้อโรคอยู่บ้างหรือเปล่า? มันยังกินได้อยู่หรือเปล่า?

        ไม่นานหลังจากนั้น ครูประจำชั้นของผมได้พาไปเที่ยวทัศนศึกษาและได้แวะที่โรงฆ่าสัตว์แห่งนี้ด้วย เราได้เห็นร่างของสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกแขวนและลำเลียงไปตามสายพาน ผมจึงได้ถามเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเนื้อคนหนึ่งตรงนั้นว่า "ขอถามหน่อยนะครับ ถ้ามีวัวตัวนึงเป็นวัณโรค แล้วปอดข้างนึงของมันเน่าเสียแล้ว พวกคุณจะทำยังไงกับมันครับ?"

        "ฉันก็อยากถามเธอเหมือนกัน ถ้าแอปเปิ้ลของเธอเป็นรูโบ๋อยู่ เธอจะทำอย่างไร? เธอก็คงจะตัดรูโบ๋ตรงนั้นทิ้ง แล้วก็กินที่เหลือต่อไปใช่มั้ยล่ะ? พวกเราก็ทำอย่างเดียวกันนั่นแหละ" ...ผมสังเกตเห็นพวกนักเรียนด้วยกันทำหน้าตกใจอึ้งกันไปหลายคน ผมเคยเล่าเรื่องวัวป่วยตัวนั้นให้เพื่อนฟังมาก่อนแล้ว พอออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ผมก็ถามพวกเพื่อน ๆ ว่า ตัดเนื้อแอปเปิ้ลทิ้งกับตัดเนื้อวัวทิ้งมันเหมือนกันมั้ย

        "ไม่เหมือนสิ บ้าหรือเปล่า!" ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาบอกว่า "เลือดจากปอดที่เสียแล้วจะไหลไปทั่วร่างกาย" ผมจึงได้ชี้ให้พวกเขาเห็นความแตกต่างอีกข้อนึงด้วย คือเชื้อโรคในตัวสัตว์สามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายคนได้ด้วย แต่เชื้อโรคในแอปเปิ้ลจะมีชีวิตอยู่ได้เฉพาะในผลไม้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังไม่มีการไหลเวียนเหมือนเลือดด้วย ต่อให้กินแอปเปิ้ลที่มีรูโบ๋เข้าไปเลยก็ไม่ทำให้เราเจ็บป่วยหรอก

        พอเห็นอย่างนี้แล้ว อาหารเนื้อสัตว์ที่ผมเคยรังเกียจ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกรังเกียจมากขึ้นไปอีก

        ในโรงเลี้ยงไก่ พวกไก่ที่เงื่องหงอยคอตก ก้นเปียกชื้น เป็นไก่ด้อยคุณภาพ ก็ล้วนถูกฆ่าและส่งเข้าตลาดเนื้อสดและตลาดเนื้อแปรรูปทั้งนั้น

        เมื่อก่อนผมเคยชอบกินไก่ แต่พอได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานเลี้ยงไก่ใกล้บ้านแห่งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีความอยากกินไก่อีกเลย ผมเห็นคนเลี้ยงจะเดินตรวจตราห้องเลี้ยงทุกวัน เลือกเอาไก่ที่ป่วยและออกไข่น้อยออกมา ส่งไปขายในตลาด ไก่พวกนั้นจะเป็นพวกคอพับคอตก ก้นเปียกชื้น พวกมันถูกส่งเข้าโรงงานแปรรูป และที่น่าตกใจก็คือ อย่างน้อยก็ในเวลานั้น แทบไม่มีการตรวจสอบอะไรเลย ...ตอนนั้นกระเพาะอาหารมันเหมือนจะพูดกับผมเลยทีเดียวว่า อย่าได้เอาซากไก่ตายเหล่านั้นเข้ามาในหนังหุ้มของฉันอีกเลย


เขียนโดย 佚名
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170717/043271.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...