26 ส.ค. 2560

กินมังสวิรัติอย่างต่อเนื่องมา ๙๐ ปี ผลเป็นอย่างนี้



        ที่หน้าประตูห้องครัวของร้านอาหาร พ่อครัวกำลังฉุดลากแพะตัวหนึ่งอยู่อย่างสุดแรง แพะตัวนั้นกรีดร้องอย่างโหยหวน งอเข่าคุดคู้ขัดขืนไม่ยอมเข้าประตูห้องครัว เสียงร้องของแพะนั้นเหมือนเสียงร่ำไห้

        เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในร้าน เห็นภาพนั้นแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน และในวันนั้นเธอไม่กินเนื้อแพะเลย เธอกินแต่แผ่นแป้งอบเท่านั้น และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าใครจะชักชวนอย่างไร เธอก็ไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์อีกเลย

        เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือคุณเย่ม่าน (叶曼女士) เกิดเมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. ๑๙๑๔ (พ.ศ. ๒๔๕๗) ชื่อเดิมของเธอคือ หลิวซื่อหลุน (刘世纶) ปีนี้เธอก็มีอายุถึง ๑๐๓ ปีแล้ว คุณเย่ม่านเรียนจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เคยดำรงตำแหน่งรองศาตราจารย์ภาควิชาปรัชญาของมหาวิทยาลัยฝู่เหริน (辅仁大学) เริ่มเรียนอ่านหนังสือ 左传 (หนังสือประวัติศาสตร์คลาสสิคของจีน) ตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ในปี ค.ศ. ๑๙๓๕ ได้รับคัดเลือกจากคณบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ให้เข้าเป็นนักศึกษาในภาควิชาเศรษฐศาสตร์

        ในช่วงวัยกลางคนเธอเคยเป็นอาจารย์สอนบุคคลสำคัญในโลกวิชาการหลายคน ปัจจุบันคุณเย่ม่านเป็นหนึ่งในจำนวนไม่มากนักของโลก ในฐานะนักวิชาการผู้รอบรู้ทางวัฒนธรรมทั้งขงจื๊อ เต๋า และพุทธ ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เธอได้บรรยายในชั้นเรียนเกี่ยวกับคัมภีร์ต่าง ๆ มากมาย มีผลงานเขียนหนังสือหลายเล่ม และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ


        แค่ได้กลิ่นเนื้อก็นึกถึงเสียงร้องของแพะ 


        หลายวันก่อนมีเพื่อนชวนข้าพเจ้าไปเยี่ยมบ้านของคุณเย่ม่าน พอเราหย่อนก้นนั่งในห้องรับแขกเท่านั้น คุณป้าผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก็ใช้สองมือลากเก้าอี้ที่มีล้อมานั่งตรงหน้าเรา มองดูแล้วเธอเหมือนคุณป้าที่อายุ ๘๐ กว่าปีเท่านั้น ผิวขาวดูสะอาด ใบหน้าดูเป็นคนคงแก่เรียน เส้นผมผ่านการย้อมมาแล้ว และหวีไว้อย่างเรียบร้อย ในการสนทนากัน ความคิดความเห็นของเธอดูแจ่มชัดและพูดคุยได้คล่องแคล่วแววไว 

        เมื่อถูกถามถึงหลักการที่ทำให้มีอายุยืน คุณป้าเย่ม่านบอกแก่เราว่า "การกินอาหารของฉันไม่ธรรมดา ฉันเริ่มกินมังสวิรัติตั้งแต่ ๘ ขวบ กินมาแล้ว ๙๐ ปี" เธอเล่าว่า การกินมังสวิรัติมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มาก และจะไม่ขาดสารอาหารอย่างที่มีบางคนเข้าใจ "เรื่องบางเรื่องฉันไม่รู้จะบอกคนอื่นอย่างไร เธอต้องทดลองเรียนรู้และเข้าใจด้วยตัวเองเท่านั้น" พวกเราถามคุณป้าอีกว่า "มีความอยากกินเนื้อสัตว์บ้างหรือไม่?"

        เธอตอบว่า "มีสิ พอได้กลิ่นเนื้อมันก็หอมอยู่นะ แต่ทุกครั้งที่คิดอย่างนี้ฉันก็จะนึกถึงภาพอันทารุณของแพะตัวนั้นที่กำลังจะถูกฆ่าทุกที ความคิดที่อยากกินก็จะหายไปทันที คือมันทนไม่ได้ที่จะยอมให้ความอยากกินของเรากลายเป็นเหตุของการฆ่า" สมัยเป็นเด็กก็อาศัยว่าเราเป็นเด็กจิตใจดีจึงไม่ยอมกินเนื้อสัตว์อะไรเลย คุณเย่ม่านยังบอกแก่เราว่า "ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าตาย ในใจของมันจะมีแต่ความแค้น ความพยาบาท ความรู้สึกคั่งแค้นนี้จะกลั่นรวมกันเป็นสารพิษ กระจายไปตามเนื้อตัวของมัน ถ้าเรากินเนื้อที่มีสารพิษอย่างนี้ไปนาน ๆ ก็จะเป็นโทษต่อร่างกายของเราได้ ฉันจึงคิดว่า กินเนื้อให้น้อยก็เท่ากับกินพิษเข้าไปน้อย"

        อยากอยู่ร้อยปี ไม่ยากเลย


        คุณป้าเย่บอกว่า "จริง ๆ แล้วพวกเราทุกคนถ้าอยากจะมีอายุถึงร้อยปีไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เราสามารถชะลอเวลาแห่งความแก่ออกไปได้" เธอมีความเห็นว่า ชีวิตของแต่ละคนก็อยู่ในมือของตนเอง เธอแนะนำว่าเวลากินข้าวควรจะกินให้อิ่มแค่ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ก็พอ โดยมื้อเช้าต้องกินให้ได้คุณค่า มื้อกลางวันต้องกินให้อิ่ม และมื้อเย็นต้องกินให้น้อย หรือไม่กินเลยก็ยิ่งดี กินข้าวต้องไม่กินอิ่มจนเกินไปหรืออดจนเกินไป และต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนจะกลืนด้วย 

        เธอบอกต่อไปว่า "ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยที่กินมากเกินไป บางคนกินอิ่มเกินไปถึง ๑๒๐ เปอร์เซ็นต์ กินอิ่มขนาดนั้น อวัยวะภายในของเราจะรับได้อย่างไร คนเราไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ควรทำให้เต็มจนเกินไป การกินอาหารก็เหมือนกัน ชีวิตฉันไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่ทำให้มากเกินไป ต้องผ่อนเหลือผ่อนแรงไว้บ้าง หรือแม้แต่ยอมที่จะขาดไปบ้างก็ได้ ยอมที่จะถอยสักหนึ่งก้าวให้ได้ ชีวิตก็จะสุขสงบได้เสมอ"

        คุณเย่ม่านยังอธิบายต่ออีกว่า "การนอนกลางวันสั้น ๆ ก็สำคัญมาก ฉันทำมาหลายสิบปีแล้ว พวกเธออย่ามองข้ามการงีบหลับสั้น ๆ ตอนกลางวันทีเดียว แม้แต่คนโบราณก็ยังบอกว่าเราต้องพักผ่อนในเวลานี้ มีเหตุผลและข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนเยอะ ฉันขอพูดแค่ข้อเดียวก็พอ ข้ออื่น ๆ พวกเธอไปหาอ่านกันเองก็แล้วกัน ช่วงเที่ยงคืนและเที่ยงวันเป็นช่วงเริ่มต้นของการนับเวลา คนโบราณมีประสาทรับรู้เรื่องเวลาชัดเจนมาก จึงส่งเสริมให้มีการพักผ่อนในช่วงเวลานี้ เคล็ดลับอยู่ที่ตรงนีแหละ 

        โกรธหนึ่งครั้ง อายุสั้นลงหนึ่งปี


        "หน้าตาดูสดใสดีนะ"

        "ชุดที่เธอใส่นี้สวยดีจริง ๆ " ...

        ข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนอยู่ในบ้านคุณเย่ม่านนั้น ในระหว่างที่คุณป้าท่านนี้พูดคุยกับพวกเรา มักจะพูดชมเพื่อนของเราที่มาด้วยกันอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็พูดเล่นมุขตลกด้วย ท่านเป็นคนจิตใจดี อุตส่าห์ปอกแตงแคนตาลูปให้พวกเรากินด้วย ท่านมองดูเพื่อนตัวใหญ่ของเรากินไปก็พูดกระเซ้าเล่นว่า "ดูซิว่าใครจะกินได้เกลี้ยงที่สุด"

        เมื่อเห็นพวกเราต่างก็ร่าเริงกันดี จู่ ๆ คุณป้าก็พูดด้วยเสียงเข้ม ๆ ขึ้นมาว่า "แต่ห้ามโกรธเด็ดขาดเลยนะ โดยเฉพาะเวลากินข้าว อย่าโกรธใครเชียว พวกเธอต้องจำเอาไว้ โกรธหนึ่งครั้ง อายุจะสั้นลงหนึ่งปี ความโกรธก่อโรคสารพัดนะ" พอพูดถึงเรื่องความโกรธ คุณป้าดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาพอสมควรทีเดียว

        "คนที่ทำให้เธอโกรธก็คือคนที่อยากให้เธอตายเร็ว ๆ ฉันคิดว่าคนที่มาโกรธฉันก็คือคนที่จะมาแก้แค้นฉัน แต่ถึงเขาจะมาโกรธเกลียดฉันยังไง ฉันก็จะไม่โกรธตอบ ถ้าฉันโกรธเขาก็คงได้สมใจ แล้วชีวิตฉันทำไมจึงต้องยอมให้คนที่มาทำให้ฉันโกรธได้สมใจด้วยล่ะ อีกอย่าง ถ้าฉันโกรธมากจนป่วยไปล่ะ คนที่มาโกรธฉันจะช่วยอะไรฉันได้มั้ย ชีวิตฉันจึงมีแต่ความสบายใจทุกวัน อายุก็จะยืนยาว ฉันจะอยู่ไปนาน ๆ ก็เพื่อพยายามทำเรื่องที่ตัวเองและคนอื่นสบายใจให้ได้มากที่สุดเท่านั้น" 

        ในระหว่างการสนทนา พวกเราเห็นแผ่นกระดาษที่ติดอยู่บนกาน้ำชาเขียนไว้ว่า "อาหารในหนึ่งสัปดาห์ วันจันทร์ ฟักเขียว บวบผัดขิง วันอังคาร มันฝรั่ง ผักกาดขาว ผัดเห็ดหอม วันพุธ มันนึ่ง ผัดถั่วแขก ..." เราถามคุณป้าเย่ว่า "นี่คือเมนูอาหารในหนึ่งสัปดาห์ของคุณป้าหรือ?" คุณป้าตอบว่า "รายการอาหารนั่นน่าจะเป็นเพื่อนของฉันทำมาให้น่ะ มันวุ่นวายมาก ฉันกินง่ายจะตาย" เสี่ยวหวางซึ่งเป็นคนดูแลคุณป้าบอกแก่เราว่า คุณป้าเย่ม่านเป็นคนอารมณ์ดี เข้านอนตื่นนอนเป็นเวลา กินข้าวเป็นเวลา กินอะไรก็ง่าย ๆ นอกจากนี้ คุณป้ายังชอบดูงิ้วในทีวีด้วย บางครั้งที่นอนไม่หลับก็จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ

หมายเหตุ คุณเย่ม่านมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว กินมังสวิรัติมานาน ๙๐ ปี ปัจจุบันในเวลาที่มีกำลังวังชาดี เธอสามารถเป็นวิทยากรขึ้นบรรยายได้ครั้งละ ๒ - ๓ ชั่วโมงติดต่อกัน


เขียนโดย 净念居士
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20160523/030877.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...