31 ก.ค. 2560
ความสุขแบบโลก ๆ นำทุกข์มาให้นับชาติไม่ถ้วน
ในฐานะที่เราเป็นสัตว์ที่มีอารมณ์ความรู้สึก ในใจลึก ๆ ล้วนมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งเหมือน ๆ กัน นั่นคือการรักสุขเกลียดทุกข์ เหตุใดเราจึงพยายามศึกษาเล่าเรียน เหตุใดเราต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย เหตุใดเราจึงต้องอดทนอย่างมากในการดูแลรักษาครอบครัวไว้ เป้าหมายมีเพียงหนึ่งเดียว คือเราหวังว่าชีวิตของเราจะได้ความสุขและไม่ได้ความทุกข์ สัญชาตญาณนี้ไม่จำเป็นต้องเรียนจากไหน แม้แต่มดมันยังรู้ว่าต้องออกไปหาอาหาร หารูหารังอยู่ ทำไมล่ะ ก็เพราะว่ามันก็รักสุขเกลียดทุกข์ และด้วยพลังขับดันของสัญชาตญาณรักสุขเกลียดทุกข์นี้เอง ทำให้มนุษยชาติพัฒนาก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งโลกมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น พระองค์ทรงใช้แสงสว่างแห่งปัญญาอันยิ่งตรวจสอบความสุขที่สัตว์โลกอย่างเราพากันแสวงหาอยู่และพบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเท่านั้นเราจึงจะรู้ความจริงอันนี้ได้
โดยการตรวจสอบด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้า ความสุขในชีวิตที่เราแสวงหากันอยู่มีความผิดพลาดอยู่ ๒ ข้อคือ ข้อที่ ๑ ดูกันเฉพาะในชาตินี้ ความสุขนั้นไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืน แปรเปลี่ยนไม่แน่นอน มีสุขก็เสื่อมจากสุขได้ คนโบราณจึงกล่าวว่า โลกียสุขนั้น "เมื่อได้มาก็กลัวว่าจะเสียไป เมื่อเสียไปก็จะเศร้าใจ" คือเมื่อเราได้โลกียสุข ในใจเราจะมีความกลัวเกิดขึ้น เพราะเรารู้ว่ามันจะเสื่อมสูญไปเมื่อไรก็ได้ และเมื่อเราสูญเสียความสุขนั้นไป ใจเราก็จะโศกเศร้าอาดูร ดังนั้น การที่เราแสวงหาโลกียสุขนั้น จะทำให้ชีวิตเราไม่สุขสงบอย่างยิ่ง เราจึงมักจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว วิตกกังวล นี่คือความผิดพลาดข้อแรก คือมันทำให้ชีวิตปัจจุบันของเราไม่สุขสงบ
ข้อที่ ๒ เป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุด เป็นความผิดพลาดที่จะส่งผลไปในชาติภพต่อ ๆ ไปของเราที่จะเวียนตายเวียนเกิดอีกนับไม่ถ้วน เพราะเวลาที่เราเสพโลกียสุขนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพด้านวัตถุหรือด้านความรู้สึก ก็เป็นเพียงโลกียสุขเท่านั้น เราจะเกิดความรักใคร่หวงแหน เราจะมัวเมาติดอยู่ในความสุขแบบโลกีย์นั้น จมลึกลงไปในสุขและไม่อยากถูกพรากจากสุขนั้น แต่ทว่าความกังวลใจที่เกิดจากความรักใคร่หวงแหนในสุขอย่างนี้ จะส่งผลต่อพลังวิบากกรรมในการเกิดการตายของเรา ก่อให้เกิดกิเลส มีวิบากกรรมเกิดขึ้น กลไกนี้ทำให้ประตูแห่งวัฏสงสารเปิดออก เข้าสู่การเวียนตายเวียนเกิดไปอีกนับชาติไม่ถ้วน ทั้งนี้เกิดจากการที่เราอยากได้ความสุขนี่เอง น่าเสียดายที่ความสุขแบบนี้เต็มไปด้วยกับดัก เพียงแค่เราต้องการเสพโลกียสุขหรือสุขแบบโลก ๆ ก็ต้องแลกมาด้วยการวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ คือเวียนตายเวียนเกิดไปอีกนับชาติไม่ถ้วน หรือจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า เพื่อความสุขชั่วคราวสั้น ๆ เท่านั้น เราต้องทนรับความทุกข์ทรมานจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายไปอีกนับหลาย ๆ ชาติ แต่เราจะไม่เคยได้บทเรียนเข็ดหลาบหรอก เพราะเราจำไม่ได้ พอถึงชาติต่อไปเราก็จะทำอย่างเดิมต่อไปอีก
ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุผู้บวชใหม่บางรูปเมื่อได้ทำวัตรเสร็จแล้วก็จะนั่งสนทนากัน เรารู้กันว่าในสมัยนั้นมีสาวกที่มาจากศาสนาลัทธิอื่นมาบวชในพุทธศาสนาด้วย เช่น พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร เป็นต้น เนื่องด้วยลัทธินอกพุทธเหล่านี้มีการปฏิบัติฌานหรือสมาธิ เมื่อได้รับสัมมาทิฏฐิจากธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็จะบรรลุเป็นอรหันต์ได้โดยเร็ว นับว่าเป็นผู้ที่มีบุญบารมีมาก แต่ก็มีสาวกบางส่วนที่มาจากผู้ที่เป็นพ่อค้าหรือผู้ปกครองบ้านเมือง คนเหล่านี้เป็นผู้ที่มีกุศลบารมีมาก เมื่อได้บวชกับพระพุทธเจ้าแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องทำวัตรเช้าเย็นตามอย่างพระตถาคต แต่เมื่อมีเวลาว่างอดีตพ่อค้าบางคนก็นั่งสนทนากันถึงความรุ่งเรืองร่ำรวยของตนในอดีต พูดเสร็จก็หัวเราะกันร่วน
พระตถาคตผู้มีโสตทิพย์แม้อยู่ในห้องพักก็ได้ยินที่พวกเขาพูดกัน จึงค่อย ๆ ดำเนินออกจากห้องไปสู่ที่ที่พวกเขานั่งสนทนากัน พระองค์ทรงตรัสถามทั้งที่รู้อยู่ว่า "พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?" ภิกษุก็ตอบไปตามความจริง พระตถาคตจึงตำหนิภิกษุเหล่านั้น ทรงตรัสเป็นกถาว่า "เมื่อตกอยู่ในกองเพลิงเผาไหม้ ไยจึงยังระเริงยินดีอยู่? เมื่อถูกกั้นขังอยู่ในความมืด ไยจึงไม่แสวงหาความสว่าง?" เมื่อก่อนพวกเธอรู้สึกรุ่งเรืองในโลกียสุข ความจริงเป็นความผิดพลาด เป็นอุปสรรคเครื่องกั้น เหมือนตกอยู่ในกองเพลิง เราเห็นแต่ความลวงของโลกียสุข เธอไม่เห็นหรือว่าเบื้องหลังของมันมีเพลิงร้อนเผาไหม้อยู่ คือ เพลิงกิเลส เพลิงวิบากกรรม เพลิงแห่งการแก่ เจ็บ และตาย ดังนี้แล้ว ความสุขอย่างนี้ควรแล้วหรือที่พวกเธอจะยินดีจนหัวเราะหัวใคร่กัน?
แล้วเราควรจะทำอย่างไรดีล่ะ? ทำไมความสุขแบบนี้จึงนำทุกข์ในวัฏสงสารมาสู่เรา? เป็นเพราะว่าเวลาที่ใจของเราแสวงหาความสุขแบบโลก ๆ อยู่นั้น เราไม่ได้ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาธรรม แต่อยู่ในอวิชชาหรือความมืด เป็นความรู้สึกอย่างทื่อ ๆ และความมืดนั้นเองเป็นเครื่องกั้น ซึ่งเป็นจุดบอดที่มีอยู่ในเราทุกคน ความรู้สึกในการแสวงหาความสุขของเราแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนรู้สึกว่าได้บ้านเป็นความสุข บางคนไม่สนใจบ้านเท่าไร แต่ถ้าได้รถแล้วจะเป็นความสุข แตกต่างกันไปต่าง ๆ นานา แต่สรุปได้ว่าเรามักจะอิงเอาความรู้สึกของตนเองในการแสวงหาสิ่งที่เราคิดเองว่าเป็นความสุข แต่ในทางธรรมะเห็นว่า การเป็นไปตามความรู้สึกแบบนั้นเป็นความโง่เขลา ความคิดตามความเคยชินแบบนี้ติดตัวเรามาช้านานนับชาติไม่ถ้วน คือการคิดตามความรู้สึกไปแบบทื่อ ๆ นี่เอง
เรามีความปรารถนาต้องการความสุข แต่ในความสุขนั้นเราได้ติดกับดักแห่งทุกข์ในวัฏสงสาร นี่เป็นเรื่องน่าเศร้ามากของชีวิต เราเหมือนไม่มีทางเลือก เราชอบแสวงหาความสุข แต่ในความสุขก็ทำให้เราติดกับอยู่ในวัฏสงสาร
เราไม่มีทางเลือกอื่นเลยจริง ๆ หรือ?
"ไยจึงไม่แสวงหาความสว่าง!" อันที่จริงเราสามารถสลัดออกจากความสุขแบบเดิม ๆ แล้วแสวงหาความสุขที่ไม่มีความผิดพลาดได้ และนี่ก็คือเหตุผลที่โลกมีพระพุทธเจ้ามาเกิด นั่นคือเราสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ เราปรารถนาความสุข เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจได้ เป็นความต้องการของสัตว์โลกทั้งปวง แต่ในระหว่างการแสวงหาความสุขนั้น นอกจากความรู้สึกโดยตรงแล้ว ต้องเพิ่มความสว่างทางปัญญาให้แก่จิตด้วย คุณค่าของความสุขของเราจะสูงขึ้นอย่างมาก เราจะสามารถเปลี่ยนจากความสุขที่มีความผิดพลาดมาเป็นความสุขจากการหลุดพ้นและไม่มีความผิดพลาด เรียกว่าเป็นบุญอันไพศาล เราสามารถเปลี่ยนจากกุศล (有漏的福报) ไปเป็นบุญอันไพศาล (无漏的万德 บุญที่ชำระกิเลสได้)* นี่ก็คือความสุขแบบที่ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีบาป ซึ่งเราทุกคนทำได้
ดังนั้น การที่เราเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขคุณภาพของชีวิตเป็นหลัก เราไม่จำเป็นต้องเวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรามีทางเลือก คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า "ไยจึงไม่แสวงหาความสว่าง" ก็หมายถึงในการดำเนินชีวิตของเรา เราสามารถเรียนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า ใคร่ครวญตรึกตรองในคำสอน จิตใจของเราจะสามารถออกจากความมืดมาสู่ความสว่างได้ และด้วยความสว่างแล้วอันนี้เอง เราจึงแสวงหาความสุขใหม่ แต่ความสุขแบบนี้มันเป็นความสุขของการเป็นบุญอันไพบูลย์ เป็นบุญอันมากอย่างยากที่จะบรรยายได้ทีเดียว
ผู้เขียน พระอาจารย์ 净界法师
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170726/040524.htm
หมายเหตุ * ตามตัวอักษรในต้นฉบับ มีคำที่พูดถึงบุญกุศลอยู่สองคำคือ 福报 กับ 功德 (หรือบางทีก็ใช้ 福德) ซึ่งผู้แปลยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้อย่างชัดเจน รู้แต่เพียงว่าคำแรกนั้นเป็นคุณความดีแบบที่รั่วไหลหกหล่นได้ แต่คำที่สองมีสภาพเป็นบุญที่แน่นอนกว่าเพราะมันทำลายกิเลสได้ จึงขอแปลแยกเป็น "กุศล" กับ "บุญ" ไว้เป็นพื้นไปก่อน โดยอิงตามที่ครูบาอาจารย์เคยสอนไว้ หากมีโอกาสและเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนใจคงจะได้ขยายความสองคำนี้ให้ชัดเจนขึ้นในครั้งต่อไป
29 ก.ค. 2560
สูตรลดความอ้วนของพระพุทธเจ้า
ภาพจาก stuffgodhates.wordpress.com |
ในพระสูตร Dharmapadavadana มีเรื่องเล่าสั้น ๆ อยู่เรื่องหนึ่งความว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ซึ่งมีร่างอ้วนจนกลัดกลุ้ม ด้วยการเสพสุขารมณ์ต่าง ๆ ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น เสวยอาหารรสเลิศทุกวัน แม้นั้นก็ยังรู้สึกไม่พอแก่ใจ หลังจากเสวยจนอิ่มหนำและร่ำสุราจนเมามายแล้วก็ล้มนอนอย่างอ่อนเปลี้ย นอนจนพอแล้วตื่นขึ้นมาก็ร่ำไรอยู่กับการบันเทิงร้องรำ เรื่องงานราชกิจต่าง ๆ ก็มอบหมายให้เสนาอำมาตย์ดำเนินการแทนทั้งหมด การใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาเช่นนี้ ภายในเวลาไม่กี่ปีก็ทำให้พระองค์มีพระวรกายอ้วนเหมือนกระบือใหญ่ตัวหนึ่ง หายใจหอบสั้น เวลานอนไม่สามารถพลิกตัวได้ ยืนหรือเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็รู้สึกหนักเนื้อหนักตัวอ่อนเพลีย ได้รับความลำบากอย่างมาก
แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลมีความเคารพในความรอบรู้ของพระพุทธเจ้า วันหนึ่งจึงออกจากวังไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เล่าความทุกข์ต่าง ๆ นานาจากการมีร่างอ้วนของตนให้พระตถาคตฟัง เพื่อขอให้ชี้แนะวิธีลดความอ้วน
พระพุทธเจ้าตอบว่า "มนุษย์มีเหตุ ๕ ประการทำให้อ้วน ได้แก่ ๑. เห็นแก่กิน ๒. เห็นแก่นอน ๓. เห็นแก่การเสพโลกียสุข ๔. ไม่มีความตรึกตรอง ๕. มีเวลาว่างมากเกินไป
มีเพียง ๕ ข้อนี้ก็จะทำให้คนอ้วนอย่างแน่นอน หากต้องการลดความอ้วน จะต้องลดอาหาร ลดการนอน ลดการเสพโลกียสุข ใช้ความคิดใคร่ครวญปัญหาต่าง ๆ ให้มาก ขยันการงานให้มาก จึงจะแก้ไขปัญหาตัวหนักตัวอ้วนได้
พระเจ้าปเสนทิโกศลกลับไปทำตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ หันมาเสวยอาหารพืชผักรสอ่อน ลดเวลานอน ละเลิกการเสพสุขในรูปรสกลิ่นเสียง ทำงานราชกิจต่าง ๆ ด้วยตนเอง เข้าออกพระราชวังด้วยการดำเนิน ไม่ใช้รถม้า จนพระวรกายค่อย ๆ ผอมลง อารมณ์ก็แจ่มใสเบิกบานขึ้นด้วย วันหนึ่งพระองค์กับผู้ติดตามไม่กี่คนได้เดินออกจากวังไปถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้าในชนบท รายงานต่อพระตถาคตอย่างดีใจว่า "เราได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระองค์แล้ว สามารถลดความอ้วนได้จริง ๆ บัดนี้ร่างกายของเราคล่องแคล่วได้ดังใจ อารมณ์ก็ยินดีเบิกบานขึ้นมากด้วย"
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ท่านได้รักษาโรคทางกายของเราให้หายดีแล้ว บัดนี้เรามาพบท่านอีกครั้ง เพื่อขอร้องให้พระองค์ช่วยสอนวิธีอบรมจิตให้บรรลุสัจธรรมด้วยเถิด"
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ปุถุชนบำรุงตนแต่กายภายนอก แต่วิญญูชนมุ่งพัฒนาจิตวิญญาณ ผู้ใดก็ตามที่เอาแต่ความพึงใจในการเสพรสทางปาก เท่ากับกำลังขุดหลุมฝังศพตนเองอยู่ หากได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งสัมมาทิฏฐิแล้ว ไม่เพียงแต่จะคลายจากทุกข์ได้ จะยังผลให้มีอายุขัยยืนยาวขึ้นด้วย"
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มาโปรดสัตว์โลกโดยแท้ ทรงเป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง พระองค์ได้ชี้แนะพระเจ้าปเสนทิโกศลจนรักษาโรคอ้วนได้สำเร็จ มีพระวจนะสมเหตุสมผลในการบำรุงสุขภาพร่างกายและจิตใจ เป็นดั่งโอสถทิพย์ที่ให้ผลอย่างวิเศษแก่มนุษย์ทั้งหลายในยุคนี้ ที่เจ็บป่วยจากการบำรุงบำเรอที่มากเกินควรแต่ขาดแคลนอ่อนแอทางด้านปัญญาและจิตวิญญาณ
เขียนโดย 悟达
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20151115/028817.htm
28 ก.ค. 2560
Li Qingyun นักมังสวิรัติที่อายุยืนที่สุดในโลก
หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์รายงานว่า นักมังสวิรัติที่อายุยืนที่สุดในโลก คือ หลี่ชิงอวิ๋น (李清云 Li Qingyun ค.ศ. ๑๖๗๗-๑๙๓๓) เขามีชีวิตอยู่บนโลกนานถึง ๒๕๖ ปี เป็นนักวิชาการด้านการแพทย์แผนจีนในช่วงปลายยุคราชวงศ์ชิงถึงต้นยุคสาธารณรัฐจีน เป็นผู้มีอายุยืนยาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
ทุกวันนี้เรามักจะเห็นข่าวในทีวีว่ามีคนอายุยืน ๑๒๐ ปีบ้าง ๑๖๐ ปีบ้าง นั่นยังไม่น่าตื่นเต้นเท่าไร เพราะหลี่ชิงอวิ๋นมีชีวิตอยู่ถึง ๒๕๖ ปี และเขาเป็นนักมังสวิรัติด้วย ตอนที่เขามีอายุ ๑๐๐ ปี (ค.ศ. ๑๗๗๗) ประสบความสำเร็จอย่างมากด้านการแพทย์และเวชกรรมแผนจีน และได้รับรางวัลด้านนี้จากทางการด้วย และตอนที่เขามีอายุ ๒๐๐ ปี ยังคงไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยอยู่เสมอ ในช่วงนี้เองเขาได้ตอบรับการขอเข้าพบของนักวิชาการจากชาติตะวันตกหลายครั้ง เขาได้ให้ความเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเขามีอายุยืนและแข็งแรงไว้สามประการ คือ ๑. กินมังสวิรัติ ๒. จิตใจสงบและเบิกบาน ๓. กินน้ำต้มเมล็ดเก๋ากี้แทนน้ำชาอยู่เสมอ
เรื่องราวชีวิต
ตามประวัติที่รับรู้กันเป็นส่วนใหญ่กล่าวว่า หลี่ชิงอวิ๋นเกิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๖๗๗ ที่ตำบลฉีเจียง (綦江) มณฑลเสฉวน และเล่ากันว่าเขาได้ใช้เวลาทั้งชีวิตในการเก็บรวบรวมสมุนไพรจีนและเรียนรู้เคล็ดลับการมีอายุยืน ในปี ค.ศ. ๑๗๔๙ หลี่ชิงอวิ๋นซึ่งมีอายุได้ ๗๒ ปีได้สมัครเข้าเป็นทหาร และได้เป็นครูฝึกวิชาการต่อสู้และเป็นที่ปรึกษาด้านยุทธวิธีการรบด้วย
ในปี ค.ศ. ๑๙๒๗ เขาได้รับเชิญจากนายพลหยางเซินให้ไปพบที่บ้านที่ตำบลว่านเซี่ยน (万县) นายพลหยางเซินรู้สึกประทับใจในความเป็นผู้สูงอายุที่แข็งแรงและความเก่งกาจในการเก็บสมุนไพรของผู้เฒ่าหลี่เป็นอย่างยิ่ง ภาพถ่ายอันโด่งดังของเขาก็ถ่ายจากที่นี่แหละ หลังจากนั้นไม่นานผู้เฒ่าหลี่ก็ลาจากโลกไป บางคนเล่าว่าเขาตายจากไปด้วยความชราตามธรรมชาติ แต่มีบางคนเล่าว่า เขาเคยบอกกับเพื่อนไว้ว่า "เมื่อข้าได้ทำเรื่องที่ต้องทำหมดแล้ว ข้าก็จะกลับบ้านทันที (หมายถึงการตาย)"
ในปี ค.ศ. ๑๙๓๓ หลังจากเขาเสียชีวิต นายพลหยางเซินได้ส่งคนไปตรวจสอบภูมิหลังและอายุที่แท้จริงของเขา และได้ทำเป็นรายงานออกมาฉบับหนึ่งมีชื่อว่า "บันทึกเรื่องจริงของผู้สูงอายุที่มีอายุยืน ๒๕๐ ปี" ในรายงานฉบับนี้ นายพลหยางเซินได้บรรยายลักษณะของเขาไว้ดังนี้ "หลี่ชิงอวิ๋นมีสายตาที่ดีมาก การเดินเหินมั่นคงแข็งแรง สูงเจ็ดฟุตจีน ไว้เล็บยาวมาก และมีผิวพรรณสดใส" ในปีเดียวกันนั้น ชาวมณฑลเสฉวนบางคนที่ถูกสัมภาษณ์บอกว่าพวกเขารู้จักหลี่ชิงอวิ๋นมาตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กแล้ว จนถึงวันที่พวกเขาเป็นผู้เฒ่าแล้วนี้หลี่ชิงอวิ๋นยังดูไม่แก่และไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย มีบางคนบอกว่าหลี่ชิงอวิ๋นเคยเป็นเพื่อนกับปู่ของเขาด้วย
หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ระบุว่า ในปี ค.ศ. ๑๙๓๐ ศาสตราจารย์หูจงเชียน (胡忠谦) แห่งมหาวิทยาลัยเฉิงตูอ้างว่าได้พบหลักฐานเกี่ยวกับปีเกิดของเขาแล้ว โดยชี้ว่าเขาน่าจะเกิดในปี ค.ศ. ๑๖๗๗ เพราะในปี ค.ศ. ๑๘๒๗ รัฐบาลสมัยราชวงศ์ชิงได้จัดงานฉลองอายุครบ ๑๕๐ ปีให้แก่เขาด้วย นอกจากนี้ นิตยสารไทม์ได้บรรยายว่า เล็บที่นิ้วมือขวาของเขามีความยาวถึง ๖ นิ้ว (ประมาณ ๑๕.๒๓ เซ็นติเมตร)
หลี่ชิงอวิ๋นอุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับการศึกษาสมุนไพรและเคล็ดลับการมีอายุยืน เขาเคยเดินทางไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ มีทั้งมณฑลกานซู ส่านซี ธิเบต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน รวมไปถึงเวียดนามและไทยด้วย เขาได้เก็บรวบรวมโสม เห็ดหลิงจือ และสมุนไพรต่าง ๆ มากมาย และขายสมุนไพรเหล่านั้นเป็นอาชีพ สมุนไพรที่ขายมีทั้งที่เขาเก็บมาเองและที่ผู้อื่นเก็บมาส่งขายให้เขาด้วย
เคล็ดลับการมีอายุยืน
เขาคิดว่าการที่ตัวเขามีอายุยืนยาวเกิดจากเหตุปัจจัย ๓ ข้อ ได้แก่
๑. กินอาหารมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง
๒. ทำใจให้สงบและเบิกบานอยู่เสมอ
๓. ดื่มน้ำที่ชงจากใบบัว เมล็ดชุมเห็ดจีน (决明子) หล่อฮั่งก้วย (罗汉果) เก๋ากี้ (枸杞) แทนน้ำชาเป็นประจำ
"รักษาเส้นทางระบายพิษของร่างกายให้โปร่งโล่งอยู่เสมอ ได้แก่ ทางเลือด ทางปัสสาวะ และทางอุจจาระ" นี่ก็เป็นเคล็ดลับการมีอายุยืนที่หลี่ชิงอวิ๋นเหลือทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังเช่นกัน เขาเชื่อว่าการทำจิตใจให้สุขสงบและเปิดทางระบายพิษของร่างกายทั้งสามทางให้โล่งอยู่เสมอเป็นเคล็ดลับที่จำเป็นสำหรับการมีอายุยืนยาว อาหารหลักของเขาคือข้าวกับเหล้าองุ่นเล็กน้อย
การดื่มชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพได้มีบันทึกไว้ในตำรายาแผนจีนมานานแล้ว มีบันทึกว่าเมล็ดชุมเห็ดจีนมีสรรพคุณลดไขมันในเลือด ช่วยให้ดวงตาสดใสขึ้น ใบบัวมีสรรพคุณลดการอักเสบ ขับปัสสาวะ หล่อฮั่งก้วยมีสรรพคุณช่วยให้ถ่ายง่ายขึ้น ชำระล้างลำคอและปอดให้สะอาดขึ้น
วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๓๓ นิตยสารไทม์มีบทความเรื่องหนึ่งชื่อว่า "เต่า นกพิราบ สุนัข" (Tortoise-Pigeon-Dog) ได้เขียนถึงเรื่องราวและประวัติของหลี่ชิงอวิ๋นว่า เขาได้ให้เคล็ดลับในการมีอายุยืนเอาไว้ว่า "รักษาจิตใจให้สงบ นั่งให้เหมือนเต่า เดินให้เหมือนนกพิราบ และนอนให้เหมือนสุนัข"
ปี ค.ศ. ๑๙๒๘ หลี่ชิงอวิ๋นได้เขียนหนังสือไว้เล่มหนึ่งชื่อว่า "เคล็ดลับการมีอายุยืนและไม่แก่" เขาไม่ได้บอกไว้ในหนังสือว่าเขามีอายุเท่าไร แต่ได้บรรยายปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเองมีอายุยืนว่าอยู่ที่การออกกำลังกายแบบชี่กง หลี่ชิงหยุนได้เสนอเคล็ดวิชาการออกกำลังขายของเขาคือ "อ่อนแข็งประสานกัน หยินหยางสอดคล้องสมดุล" และเขาเชื่อว่าการที่ตัวเขาแข็งแรงมีอายุยืนมาจากสาเหตุสามประการคือ ๑. กินอาหารมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง ๒. ทำจิตใจให้สงบและเบิกบานอยู่เสมอ ๓. ต้มน้ำกับเมล็ดเก๋ากี้กินแทนน้ำชาอยู่ประจำ
คำร่ำลือ
เล่ากันว่าหลี่ชิงอวิ๋นเป็นวิชากังฟู มีอาชีพขายสมุนไพร แต่งงานมีภรรยา เขามีวิถึชีวิตต่างจากคนทั่วไป ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มชา ไม่สูบบุหรี่ กินข้าวเป็นเวลาและกินตามปริมาณที่กำหนด นอนเร็วตื่นเร็ว เวลาว่างจะนั่งหลับตานิ่ง สองมือวางบนเข่า ศีรษะตั้งตรงและยืดอก และอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานานหลายชั่วโมง นิ้วมือซ้ายไว้เล็บยาว และมักจะใช้กระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ครอบเล็บเอาไว้เพื่อป้องกัน เมื่อเล็บยาวประมาณ ๖ นิ้วจึงจะตัดทีหนึ่งแล้วเก็บเล็บนั้นไว้ในกล่องไม้ ตอนที่เขาเสียชีวิตยังเหลือกล่องเก็บเศษเล็บอยู่กล่องหนึ่งด้วย
หลี่ชิงอวิ๋นปกติเป็นคนพูดน้อย ไม่เคยพูดเรื่องไร้สาระ เวลามีคนมาถามอายุจะตอบแค่ว่าสองร้อยกว่าปี จริง ๆ แล้วเขาเกิดในสมัยใด ปีไหน ที่ไหนนั้นไม่มีใครรู้ แม้เขาจะมีภรรยา แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ให้ภรรยาซักเสื้อผ้าและทำอาหารให้เท่านั้น เขามีความเชี่ยวชาญในการแพทย์ด้านดวงตาและกระดูก ปี ค.ศ. ๑๘๒๐ ได้จ้างลูกน้องอายุ ๔๐ ปีหนึ่งคนให้ช่วยงานในการคัดเลือกสมุนไพร ปกติเขาจะออกเดินทางไปตามชนบทเพื่อรักษาโรค คิดค่ารักษากับคนรวยอย่างแพงเพื่อเป็นเงินใช้จ่ายในครอบครัว เมื่อมีเวลาว่างมักจะแวะไปที่ร้านค้าในท้องถิ่นเพื่อเล่นไพ่กับเพื่อน และทุกครั้งก็จะแพ้เสียเงินประมาณ ๑๒๐ เหวิน (หน่วยเงินจีนในสมัยก่อน) เสมอ ให้เพื่อนที่เล่นด้วยได้เงินซื้อข้าวกินในวันนั้นก็พอ หลี่ชิงหยุนเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ไม่เคยแสดงอาการโกรธ ทำให้เพื่อนบ้านรู้สึกเป็นมิตรด้วย จึงพากันเรียกเขาว่า อาจารย์หลี่เอ้อร์ (หมายถึงอาจารย์หลี่ที่สอง เพราะเคยมีชายชราคนหนึ่งมาจากเซี่ยงไฮ้ได้มาเยี่ยมที่นี่แล้วอ้างว่าเป็นพี่ชายของเขา)
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20140626/018658.htm
26 ก.ค. 2560
ความเข้าใจผิดต่อศาสนาพุทธในประเทศจีน
เทวะปะปนกับพุทธะ
วัฒนธรรมจีนมีการสั่งสมและผสมผสานมาอย่างหลากหลาย สามารถยอมรับศาสนาต่าง ๆ ที่สอนให้เป็นคนดีได้อย่างกว้างขวาง สืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน เมื่อเราเห็นคนจีนจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเข้าใจผิดว่าเป็นศาสนาพุทธไปเสียหมด ความจริงแล้ว บรรดาเทพทั้งหลายในความเชื่อของชาวบ้าน เช่น เซี้ยฮ้วงเอี๋ย (城隍爷) ตี่จู้เอี๊ย (土地公) นาจา (三太子) ม่าจ้อโป๋ (妈祖) ฯลฯ ได้ถูกชาวจีนสวมเสื้อของความเป็นพุทธไปเสียแล้ว หารู้ไม่ว่าเทวะกับพุทธะนั้นคนละอย่างกัน ทั้งโดยแก่นและความเชื่อถือมีความแตกต่างกันอย่างมาก เราจึงควรมาศึกษาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน
ในศาสนาพุทธ เทพหรือเทวดาเป็นเพียงส่วนหนึ่งในภพทั้งหก (สวรรค์ มนุษย์ อสูร เดรัจฉาน เปรต นรก) เทพจัดว่าเป็นจิตวิญญาณที่มีกุศลมาก อาจจะเป็นผู้ที่เคยทำความดีสร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติหรือมนุษยชาติไว้ในชาติปางก่อน คนรุ่นหลังมีความสำนึกขอบคุณท่าน จึงได้ตั้งศาลขึ้นเพื่อแสดงความเคารพบูชา หรือเทพอาจจะเกิดขึ้นในยุคที่มนุษย์ยังไม่มีปัญญามากพอ ไม่มีความรู้เรื่องปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จึงกราบไหว้บูชาต่อธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า แผ่นดิน เป็นต้น
คนทั่วไปเข้าใจว่าเทพเจ้ามีอำนาจควบคุมชีวิตและความตายของสรรพสัตว์ มีความสามารถครอบงำโชคเคราะห์และบาปบุญทั้งหมดได้ แต่หารู้ไม่ว่าเทพหรือเทวดาก็คือปุถุชนนี่แหละ แต่เป็นผู้ที่มีเป้าหมายอยู่ที่การบำเพ็ญคุณงามความดี โดยที่ยังไม่มีระบบความคิดทางปรัชญาอย่างสมบูรณ์รอบด้าน การบูชากราบไหว้เทพเจ้าคือการขอพรในโลกนี้ เพื่อให้ได้รับการปกป้องคุ้มครอง ปัดเป่าเภทภัยต่าง ๆ แต่ไม่สามารถบรรลุความหลุดพ้นจากทุกข์ได้ เทพเจ้าในศาสนาอื่นมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในฐานะเจ้านายกับผู้รับใช้ ไม่มีทางเท่าเทียมเสมอกันได้
แต่พระพุทธเจ้าได้ละทิ้งราชบัลลังก์ ละทิ้งคู่ครองและบุตร ออกไปแสวงหาสัจจะ เป็นวิญญูชนผู้ออกบวช และได้รู้แจ้งแทงตลอดถึงความจริงทั้งชีวิตและจักรวาล ได้พิสูจน์การเข้าถึงปัญญาอันแท้จริงได้ พระองค์แสดงความจริงว่าบาปบุญและดีชั่วทั้งหลาย ล้วนเกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้น
หากเราไม่ประพฤติปฏิบัติให้ถึงในใจ ปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมและความคิดของเราอย่างแท้จริง การกราบไหว้บูชาอย่างมืดบอดไม่มีทางเข้าหาความดีและออกจากความชั่วได้ ยิ่งไม่อาจชำระกายใจให้บริสุทธิ์ได้ พุทธนั้นปฏิบัติต่อสัตว์ทั้งปวงด้วยเมตตาและเสียสละด้วยความยินดี พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้ากับมนุษย์คือครูกับลูกศิษย์ ขอเพียงเราปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ทุกคนก็สามารถเป็นพุทธะได้ ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่าโดยเนื้อแท้แล้วความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธองค์กับมนุษย์นั้นเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ปัญญากับอวิชชา
มักจะมีคนวิจารณ์ว่าศาสนาพุทธเป็นลัทธิงมงาย อย่างไรจึงเรียกว่างมงาย? การเชื่อตาม ๆ กันไปโดยไม่ได้พิจารณาด้วยเหตุผลให้ถ่องแท้นั้นเป็นความงมงาย ผู้ที่วิจารณ์ส่วนใหญ่ยังไม่เคยได้ฟังธรรมของพุทธศาสนาเลย แม้แต่ความหมายของคำว่า "พุทธ" ก็ยังไม่รู้ แล้วก็ตัดสินเอาเองว่าศาสนาพุทธเป็นลัทธิงมงาย ผู้ที่วิจารณ์อย่างนี้ดูจะเขลาและงมงายยิ่งกว่าหรือไม่
แล้วการเชื่ออย่างมีปัญญานั้นเป็นอย่างไร มันคือการพิจารณาด้วยปัญญา ตรวจสอบอย่างรอบคอบ ให้รู้แน่ว่าเป็นคุณงามความดี สามารถทำให้คนหลุดพ้นจากทุกข์ได้จริง แล้วจึงยอมรับเชื่อถือ แบบนี้จึงจะเรียกว่าเชื่อด้วยปัญญา เหลียงฉีเชา (นักคิดนักเขียนจีน) เคยกล่าวไว้ว่า "ศาสนาพุทธต้องเชื่อด้วยปัญญาไม่ใช่งมงาย" ศาสนาพุทธเองก็ไม่ยอมรับความงมงาย สนับสนุนให้ตรวจสอบค้นหาข้อสงสัยด้วยเหตุผล มีความใจกว้าง มีท่าทีในการรับรู้ความจริงตามความเป็นจริง อันเป็นคุณลักษณะของการเชื่อด้วยปัญญา เป็นความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอื่น
ความเชื่ออื่นถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพุทธ
ในวิถีชาวบ้านมีคติความเชื่อต่าง ๆ มากมาย มีการปฏิบัตินอกศาสนาพุทธอยู่หลายอย่าง ล้วนไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา ดังตัวอย่างต่อไปนี้
๑. การดูดวงพยากรณ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น เสี่ยงเซียมซี เสี่ยงทายด้วยไม้ (卜卦) ทายดวงดาว (紫微斗数) คลำกระดูก (摸骨) เป็นต้น การทำนายเหล่านี้เกิดจากคนไม่มั่นใจต่ออนาคตของตนเอง หวังว่าจะอาศัยสิ่งเหล่านี้มากำหนดทิศทางชีวิต แต่ศาสนาพุทธสอนว่า "อยากรู้เหตุในอดีตชาติ ให้ดูสิ่งที่ได้รับในชาตินี้ อยากรู้ผลในชาติต่อไป ให้ดูการกระทำในชาตินี้" ความคิดและการกระทำของเราเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตในอนาคต ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการดูดวงเลย เพียงแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่เหตุ ผลก็จะเกิดตามเหตุที่ได้ทำไว้แล้วเอง
๒. การดูฮวงจุ้ย ศาสตร์ฮวงจุ้ยสัมพันธ์กับทิศทาง สนามแม่เหล็ก การไหลของน้ำ เป็นต้น มีหลักอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับธรรมชาติ สำหรับปุถุชนผู้ยังไม่รู้แจ้งในสัจธรรม ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ก็ยังมีอิทธิพลต่อเขาอยู่ แต่อริยะบุคคลผู้ได้อรหัตผลแล้ว ไปอยู่ที่ไหนที่นั่นก็จะเป็นดินแดนอันบริสุทธิ์และสว่าง ข้อนี้ยืนยันคำกล่าวที่ว่า "จิตของปุถุชนหมุนวนไปตามตำแหน่งแห่งที่ แต่ภพภูมิของพระอริยะกำหนดได้ตามจิต" อย่างไรก็ดี ศาสนาพุทธเน้นการปฏิบัติที่จิต สภาวะจิตภายในมีความสำคัญกว่าสภาพภูมิประเทศภายนอกอย่างมาก
๓. ทรงเจ้าเข้าผี (跳神扶乩) เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อของชาวบ้าน อาศัยวิญญาณเป็นสะพานเชื่อมต่อ เพื่อการวอนขอสิ่งต่าง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่คำสอนในศาสนาพุทธอย่างแน่นอน จัดอยู่ในพวกไสยศาสตร์
๔. การโยนถ้วยถามเทวดา (掷杯筊) มนุษย์กับเทพไม่สามารถสื่อสารกันได้ เรื่องนี้มันเป็นการถามเองตอบเอง และเดาเอาว่าเป็นเจตนาของเทวดาเสียมากกว่า
๕. การเผากระดาษเงินกระดาษทอง ประเพณีนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น โดยกลวิธีการตลาดของพ่อค้ากระดาษในสมัยนั้น สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังมีการพัฒนามาเป็นการสร้างสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เป็นกระดาษ เชื่อกันว่าเผาไปให้ผู้ตายได้ใช้ แต่ศาสนาพุทธสอนว่า ถ้าต้องการทำกงเต็ก (แปลตามอักษรว่ากุศลกรรม) ควรจะให้ทาน พิมพ์หนังสือธรรมะ หรือบำรุงพระรัตนตรัยในนามของผู้ตาย จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ตายได้มากกว่า การเผากระดาษเงินกระดาษทองและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ นั้น มีแต่ภพของผีของเปรตเท่านั้นที่จะใช้ได้ แต่ผู้ตายนั้นอาจจะไม่ได้ไปผุดเกิดในภพของผีเปรตเลยด้วยซ้ำ
๖. ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นเครื่องสังเวยบูชา ผู้ไม่ประสามักจะไหว้พระพุทธเจ้าด้วยเป็ด ไก่ หมู ปลา ฯลฯ แม้จะแสดงความเคารพบูชาด้วยใจจริง แต่ทว่าศาสนาพุทธสอนให้มีจิตใจเมตตากรุณา สอนว่าทุกชีวิตเท่าเทียมเสมอภาคกัน เคารพในสิทธิของการมีชีวิตอยู่ของดวงวิญญาณทั้งหลายในโลก นอกจากนี้ สัตว์ทั้งหลายที่เกิดและตายวนเวียนอยู่ในภพทั้งหกนั้นล้วนเคยเป็นญาติกันมาก่อนทั้งสิ้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์ที่ถูกฆ่านั้นในชาติก่อนเคยเป็นพ่อเป็นแม่เรามาหรือไม่ ศาสนาพุทธจึงกำหนดศีลข้อแรกเป็นพื้นฐานไว้เลยว่า ห้ามฆ่าสัตว์
มองโลกในแง่ลบ กราบไหว้บูชาตัวบุคคล
ศาสนาพุทธได้เปิดเผยผ้าคลุมของชีวิตออก ให้เห็นความจริงว่ามันเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่เที่ยงแท้ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจธรรมะของศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้ง มักจะตีความตามตัวหนังสืออย่างผิวเผิน แล้วคิดเอาว่าศาสนาพุทธนั้นมองโลกในแง่ลบ หดหู่เศร้าหมอง อันที่จริง ศาสนาพุทธมองการทำอกุศลกรรมในแง่ลบ แต่มีท่าทีเป็นบวกอย่างยิ่งต่อการทำกุศลช่วยสัตว์โลกและมีจิตใจเสียสละให้แก่ผู้อื่น
ศาสนาพุทธมีปณิธานที่จะพาสัตว์ทั้งปวงให้พ้นทุกข์ จึงมีจิตที่เมตตากรุณา ไม่ใช่จิตที่ปลดปลงอย่างเศร้าหมอง ยังมีคนอีกมากที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าคนที่บวชเป็นพระเป็นคนไม่กตัญญู หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในสังคม เขาไม่รู้เลยว่าในสังคมต้องการบทบาทหน้าที่อันหลากหลาย จำเป็นต้องมีบุคลากรหลาย ๆ ด้าน ภาระหน้าที่ในการกอบกู้จิตวิญญาณของสังคม ต้องอาศัยพระสงฆ์เป็นกำลังอย่างสำคัญ การออกบวชเป็นเรื่องของลูกผู้ชาย ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก การออกบวชจึงจะเป็นการกตัญญูอย่างแท้จริง เพราะเป็นการออกจากบ้านของกิเลส เพื่อปลูกเชื้อแห่งพุทธมาสู่ตน นำพาธรรมะมาเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของตนเองและผู้อื่น พระโพธิสัตว์ตี้จ้าง (地藏菩萨) ผู้ได้ชื่อว่าลงไปช่วยโปรดมารดาถึงในนรก พระองค์ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า "ตราบใดที่นรกยังไม่ว่างจากผู้ตกทุกข์อยู่ เราจะไม่เป็นพระพุทธเจ้า ต่อเมื่อสัตว์ทั้งปวงข้ามพ้นทุกข์แล้วเท่านั้น จึงจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ" ท่านลองคิดดูเถิดว่าการตั้งจิตแบบนี้เป็นความคิดในเชิงบวกมากเพียงใด
สาวกของศาสนาอื่นมักจะวิจารณ์ว่าศาสนาพุทธกราบไหว้แต่บุคคล แต่เขาไม่รู้ว่าศาสนาพุทธสร้างพระพุทธรูปก็เพื่อเป็นเครื่องรวมจิตใจ เพื่อให้ผู้ที่กราบไหว้ได้มองเห็นทั้งรูปและนาม เพื่อเรียนรู้แก่นคำสอนและการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เพื่อการอ้อนวอนร้องขอ ก็เหมือนกับสัญลักษณ์ธงชาติ เพลงชาติ ไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์สำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ พระพุทธรูปนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งพระธรรมคำสอน ศาสนาพุทธโดยแท้จริงแล้วไม่ยึดติดในรูปธรรม ไม่หนีโลก แต่ก็ไม่ติดในโลก ยิ่งในคัมภีร์ "วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร" แต่ละถ้อยคำล้วนมุ่งสลายความเป็นรูป แล้วจะว่าเป็นการบูชาบุคคลได้หรือ
เขียนโดย พระอาจารย์ 慧律法师
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20131001/003993.htm
24 ก.ค. 2560
สิบข้อมูลมหัศจรรย์ของการกินมังสวิรัติ
๑. คนกินมังสวิรัติ ๑ คน อย่างน้อยจะช่วยรักษาชีวิตแกะได้ ๓ ตัว วัว ๑๑ ตัว หมู ๔๓ ตัว ไก่ ๑,๑๐๐ ตัว ปลาและกุ้งนับสิบล้านตัว
๒. ทันทีที่คน ๑ คนที่เลือกกินมังสวิรัติ จะสามารถลดการปล่อยกาซคาร์บอนไดออกไซด์ในส่วนของตนเองลงไปได้ ๑๘ เปอร์เซ็นต์ แต่ละปีจะช่วยลดปริมาณกาซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ๑.๕ ตัน
๓. ถ้าคนทั้งโลกกินมังสวิรัติ อาศัยที่ดินเพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ก็จะสามารถมีอาหารเลี้ยงประชากรทั้งโลกได้ และเราจะห่างไกลจากปัญหาความอดอยาก ที่ดินสำหรับเพาะปลูกก็จะสามารถหยุดพักและฟื้นฟูได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี
๔. ที่ดิน ๑ เฮคเตอร์ (๖ ไร่ ๑ งาน) สามารถเลี้ยงชีวิตคนที่กินมันฝรั่งได้ ๒๒ คน หรือคนที่กินข้าวได้ ๑๙ คน แต่สามารถเลี้ยงคนที่กินเนื้อวัวได้ ๑ คน หรือคนที่กินเนื้อแกะได้ ๒ คนเท่านั้น
๕. ปัจจุบันปริมาณของธัญพืชที่ใช้ในการเลี้ยงปศุสัตว์ทั่วโลกในแต่ละปี มีมากพอที่จะเป็นอาหารสำหรับมนุษย์ ๒ พันล้านคน ปริมาณอาหารขนาดนี้สามารถแก้ปัญหาความอดอยากของคนได้ถึง ๑ พันล้านคน การกินมังสวิรัติสามารถลดการสิ้นเปลืองธัญพืชของโลกได้ ๗๐๐ ล้านตัน (ครึ่งหนึ่งของธัญญาหารทั้งโลก) และจะเหลือที่ดินเพิ่มขึ้น ๓.๔ พันล้านเฮคเตอร์
๖. รายงานขององค์การสหประชาชาติระบุว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน ถ้าคนทั้งโลกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหาร โดยกินมังสวิรัติเป็นหลักจะสามารถช่วยรักษาโลกไว้ได้
๗. คนกินเนื้อสัตว์มีภาวะโรคอ้วนมากกว่าคนกินมังสวิรัติ ๙ เท่า
๘. คนกินมังสวิรัติจะมีอายุยืนยาวขึ้นโดยเฉลี่ย ๑๕ ปี
๙. มังสวิรัติมีประสิทธิภาพในการลดโรคความดันโลหิตสูง ลดคอเรสเตอรอล ลดโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ลดภาวะเส้นเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ลดความเสี่ยงต่อการผ่าตัดโรคหัวใจ ๘๐ เปอร์เซ็นต์
๑๐. นักมังสวิรัติมีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเลือดขาวเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของคนกินเนื้อสัตว์ ก็จะสามารถมีภูมิคุ้มกันโรคได้เท่าเทียมกัน (ผลการวิจัยจากศูนย์วิจัยมะเร็งประเทศเยอรมัน)
สำหรับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนักมังสวิรัติหรือไม่ก็ตาม นี่คือข้อมูลที่น่าสนใจสิบข้อที่เราจำเป็นต้องรู้ มันมีความสำคัญเช่นเดียวกับคำกล่าวตอนหนึ่งในการประชุมโครงการรณรงค์เพื่อรักษาสภาพอากาศที่เมืองซินซินนาติ (สหรัฐอเมริกา) ว่า "คุณสามารถเปลี่ยนไปใช้หลอดประหยัดไฟ ซื้อรถยนต์พลังงานไฮบริด หรือปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้น แต่ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนนั้น ไม่มีวิธีการใดที่จะมีประสิทธิผลดีไปกว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารอีกแล้ว มันทั้งได้ผลดีกว่า ง่ายกว่า ประหยัดกว่า เร็วกว่า และมีพลังมากกว่าวิธีอื่น ๆ ทั้งสิ้น
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20130731/017559.htm
13 ก.ค. 2560
พระโพธิสัตว์จะปกป้องคนชั่วหรือไม่?
พระโพธิสัตว์มีเมตตายิ่งแก่สัตว์ทั้งปวงโดยเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าเธอจุดธูปกราบไหว้แล้วพระองค์จะลำเอียงเข้าข้างเสียเมื่อไร หรือเขาไม่จุดธูปกราบไหว้แล้วพระองค์ก็จะไม่สนใจเขาก็หาใช่ จะว่าไปก็เปรียบได้กับแสงตะวันสาดส่อง ห้องที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์จะสว่างและอบอุ่น ห้องที่หันหลังให้ดวงอาทิตย์แดดจะส่องไม่ถึง คุณจะได้รับพรและการปกป้องจากพระโพธิสัตว์มากน้อยเท่าใด ขึ้นอยู่กับความเคารพศรัทธาในใจของคุณเอง
ศาสนาพุทธเชื่อเรื่องกรรม ดีและชั่วล้วนเกิดจากเหตุ ทำเองก็ต้องรับเอง ไม่ว่าจะเป็นคนมั่งมีเงินทองมียศศักดิ์ใหญ่โต หรือคนสามัญชั้นชาวบ้าน หากทำผิดศีลผิดธรรม ก่อบาปก่อเวร ล้วนต้องได้รับผลเป็นอกุศล เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งสิ้น หากน้อมจิตเคารพพระโพธิสัตว์ ก็จะเป็นการสั่งสมกุศลผลบุญ
ถ้าเราได้ประกอบกรรมชั่วไว้ก่อน แล้วจึงมากราบไหว้พระในภายหลัง กรรมดีและกรรมชั่วนี้จะลบล้างกันได้ไหม? ผลแห่งวิบากกรรมที่นับเนื่องทับถมกันมายาวนานนั้นมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง มีแต่พระพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้มีปัญญาโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้นที่จะอธิบายวิบากกรรมในแต่ละชาติแต่ละภพของคน ๆ หนึ่งได้อย่างละเอียดละออ
เธอเคยเห็นมั้ยว่าสัตว์เลี้ยงบางตัวเหมือนจะมีบุญกว่าคนเสียอีก แม้ว่าสัตว์จะเกิดในภพของเดรัจฉาน ซึ่งแสดงว่าชาติที่แล้วมันต้องทำกรรมชั่วไว้มากจึงต้องไปเกิดในภพเดรัจฉาน แต่ก็คงได้ทำกุศลสั่งสมไว้เหมือนกัน จึงได้รับความสะดวกสบายในชีวิตด้วย กรรมดีกรรมชั่วต่างก็ให้ผลพร้อม ๆ กันทีเดียวเลย อันที่จริง ถ้าเธอสังเกตคนรอบข้างดูบ้าง จะเห็นว่าพวกเขาก็กำลังได้รับผลดีผลร้ายของกรรมอยู่เช่นเดียวกัน
กรรมดีกรรมชั่วที่ลบล้างกันได้ก็มีอยู่เหมือนกัน ฉันจะบอกหลักการของมันให้เธอรู้อย่างหนึ่ง คือเมื่อได้ทำกรรมชั่วไปแล้ว ถ้าเกิดมีจิตสำนึกผิดได้ แสดงความสำนึกผิดต่อพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์อย่างจริงใจ ปฏิญาณตนว่าจะไม่ทำผิดอีก และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแก้ไข ชดใช้ต่อความเสียหายที่ได้ทำลงไป ตั้งมั่นยืนหยัดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พูดจริงทำจริง ถ้าจิตมีความจริงใจโดยแท้แล้ว วิบากกรรมชั่วที่ไม่หนักหนามากก็จะสามารถล้างออกไปได้
อันที่จริง เหตุเภทภัยที่เกิดจากวิบากบาปอันหลีกเลี่ยงได้ยากนั้น หากได้บรรเทาหรือลบล้างออกไปได้ หาใช่เป็นเพราะพระโพธิสัตว์ได้รับการจุดธูปกราบไหว้หรือรับสินบนเป็นผลไม้ไม่กี่ลูกแล้วลงมือช่วยเหลือปกป้องเขาหรอก แต่เกิดจากพลังในใจของเขาเองต่างหาก ที่ตั้งจิตมั่นในการสั่งสมกุศล และได้อาศัยการสำนึกผิดอย่างจริงใจจนเป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผลวิบากกรรมได้
หลักการทั่วไปก็เป็นเช่นนี้ ส่วนตัวของเธอจะมีข้อสรุปอย่างไรคงต้องไปคิดทำเอาเองแล้วล่ะ
เขียนโดย 希阿荣博堪布
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170707/034708.htm
12 ก.ค. 2560
แม้ไม่ได้กินมังสวิรัติ เราก็น่าจะช่วยให้โลกนี้มีความทารุณน้อยลงบ้าง
ระหว่างทางนั่งรถกลับโรงแรม ผมกลัวว่าจะเมารถ จึงลดกระจกหน้าต่างลง เอาหมวกมาสวม เอาผ้ามาพันคอ แล้วทอดสายตามองออกไปข้างนอก
ด้านข้างมีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นใกล้เข้ามา คู่ขนานมากับรถของเรา รถบรรทุกสภาพเก่า ๆ หน่อย สีน้ำเงินที่เคลือบบนตัวรถมีรูโหว่เป็นรอยสนิมสีน้ำตาลเข้ม ที่รูสนิมนั้นเอง มีจมูกเล็ก ๆ ยื่นออกมา มันหนาวเย็นจนแดงก่ำ ลองสังเกตดี ๆ จึงเห็นว่ามันคือจมูกหมู ในรถคงจะบรรทุกหมูมาเต็มคัน ทุกครั้งที่รถผ่านหลุมผ่านเนิน ก็จะได้ยินเสียงร้องอู๊ดอ๊าดอี๊ดอ๊าดอย่างเซ็งแซ่ดังออกมาจากในรถ วันนี้อุณหภูมิที่เสิ่นหยางติดลบแล้ว ลมหนาวเย็นแทรกเข้ากระดูก บนหลังคารถมีหิมะขาวเกาะกองอยู่ อาจเป็นเพราะอุณหภูมิที่ต่ำมาก จมูกนั่นจึงหดกลับเข้าไป แต่ก็มีจมูกอันใหม่เบียดออกมาในทันที พวกมันคงอยากจะสูดอากาศภายนอกบ้าง ด้วยระยะห่างไม่ถึงสองเมตร ผมเฝ้ามองดูพวกมันอยู่จนถึงทางแยกที่ต่างคนต่างหันหัวรถเลี้ยวจากกันไป ดูห่างออกไปเรื่อย ๆ จนพวกมันกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ไกล ๆ ... อาจจะฟังดูเหมือนเป็นแม่พระนักบุญไปบ้าง แต่ภาพนั้นมันดูแล้วช่างหนักอึ้งและน่าเศร้า ไม่รู้ว่าพวกมันจะถูกพาไปส่งที่ไหน แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็คงหนีไม่พ้นต้องจบชีวิตด้วยการถูกฆ่า เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
ปี ๒๐๑๓ เป็นช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวเหมือนกัน เหตุเพราะซื้อตั๋วรถไฟไม่ได้ ผมจึงต้องขับรถพาแม่กลับบ้านในชนบทด้วยตัวเอง จากใต้ไปเหนือ ระยะทาง ๒๐๐๐ กิโลเมตร เริ่มออกเดินทางกลางคืน ขับมาจนถึงรุ่งเช้าก็จอดรถในเมืองเพื่อจะหาที่พัก แต่ปรากฏว่าโรงแรมเต็มหมดแล้ว ด้วยความเหนื่อยและเพลียผมไม่กล้าขับรถไปต่อ เราจึงสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้น ปรับเบาะนั่งให้เอนลง เพื่อจะนอนพักในรถ
ฟ้าเริ่มรุ่งสางแล้ว เราตกใจตื่นเพราะเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ รู้สึกตื่นตระหนกจนต้องหันมองไปโดยรอบว่ามีอะไรเกิดขึ้น จึงเห็นว่าข้าง ๆ มีรถบรรทุกหมูมาจอดอยู่ คนขับรถเปิดประตูออกมา ในมือที่เส้นเลือดดำปูดโปนกำแท่งเหล็กยาวประมาณสองเมตรออกมาด้วย เขาแทงเหล็กนั่นไปที่ตัวหมูในรถอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งที่หู ที่จมูก ที่กีบเท้า ที่ก้น... ดวงตาของเขาแดงก่ำ ปากก็พ่นคำด่าโล้งเล้ง พอแทงลงไปทีนึง หมูตัวที่ถูกแทงก็จะกรีดร้องอย่างรวดร้าว บนตัวมันผุดจ้ำแดง เลือดสดค่อย ๆ ไหลซึมออกมา เขาเดินและแทงไปรอบ ๆ ตัวรถ เมื่อเขาวนไปถึงจุดไหน พวกหมูที่อยู่ด้านนั้นก็จะเต้นเร่า ๆ ด้วยความตื่นตกใจ พื้นที่แคบ ๆ บนรถ มันจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ มันจึงหันหลังให้คนขับรถแล้วถีบโถมตัวไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต ... คนในรถคันอื่นที่จอดอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้นต่างตื่นกันขึ้นมาหมดแล้ว มีบางคนลงมาจากรถ แต่ทุกคนก็มองดูอยู่ห่าง ๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ แม่ผมเป็นคนขี้กลัว ท่านตกใจจนจับมือผมไว้แน่น ไม่ยอมให้ผมออกไปนอกรถ ผมพยายามบอกแม่ว่าไม่ต้องกลัว ประตูรถล็อคอยู่ ความจริงต่อให้แม่ไม่ดึงผมไว้ ผมก็ไม่กล้าออกไปยุ่งหรอก ลักษณะท่าทางของคนขับรถดูน่ากลัว ไม่รู้ว่าสัตว์เลี้ยงที่หนาวจนตัวสั่นเหล่านี้ทำผิดอะไรจึงต้องถูกเขาทำทารุณถึงขนาดนี้ ในตอนหลังผมจึงได้รู้ว่าที่เขาต้องทำอย่างนั้นก็เพื่อไม่ให้หมูที่เบียดเสียดกันอยู่ในรถเป็นลมหรือตายจากการขาดออกซิเจน เพราะถ้าตายแล้วจะขายไม่ได้ราคา การแทงแบบนี้ทำให้พวกมันต้องเคลื่อนไหว ความเจ็บปวด ประสาทที่ตื่นตัวขึ้น ทำให้พวกมันมีลมหายใจอยู่ได้จนถึงโรงฆ่า ยังคงเป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความสดอยู่
ก่อนหน้านี้ผมเคยแชร์ข่าวจากประเทศเกาหลีเรื่องหนึ่งเล่าว่า มีแผงขายเนื้อหมาบางเจ้าใช้วิธีผูกขาทั้งสองข้างของหมาแล้วแขวนห้อยหัวไว้อย่างเป็น ๆ เพื่อเตรียมจะฆ่า เขาจะปล่อยให้มันดิ้นรนในอากาศอยู่อย่างนั้น เพื่อจะให้เนื้อของมันอ่อนนุ่มน่ากินมากขึ้น... หมาหลายตัวตายโดยที่เนื้อและหนังที่ขาของมันถอกเปิดออกจนเห็นกระดูกขาว ๆ ข้างใน ... ไหน ๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว จะให้มันตายง่าย ๆ หน่อยไม่ได้เชียวหรือ
ระหว่างทางกลับบ้านหลังเหตุการณ์รถบรรทุกหมูครั้งนั้น แม่แทบไม่ได้พูดอะไรอีกเลย พอใกล้จะถึงบ้าน ท่านจึงบอกว่าท่านตั้งใจจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกแล้ว ท่านไม่อยากให้ตัวเองเป็นเหตุให้สัตว์เหล่านั้นต้องได้รับการทารุณอีก ผมก็ยิ้ม ๆ และเออออไปกับแม่ด้วย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงจังอะไร
แต่ทว่า หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา แม่ก็เริ่มกินมังสวิรัติจริง ๆ
แม่ผมไม่ได้เป็นคนมีความเด็ดเดี่ยวอะไร ปกติก็ไม่เคยเห็นท่านยืนหยัดตั้งมั่นในเรื่องใดมาก่อน พอท่านเริ่มกินมังสวิรัติ ผมกับพ่อมักจะทำท่าสนับสนุนไปแบบสนุก ๆ เท่านั้น คิดว่าปล่อยให้ท่านดึงดันไปสักพักก็คงจะเลิกไปเอง
ไม่นึกว่าท่านจะเอาจริงเอาจังขึ้นมาจริง ๆ ท่านไม่กินอะไรที่เป็นชิ้นส่วนของสัตว์อีกเลย ไม่แตะอาหารเนื้อสัตว์เลยแม้แต่น้อย ท่านเริ่มหัดทำกับข้าวมังสวิรัติ หมักถั่ว ผัดเห็ด เต้าหู้หนึ่งก้อนสามารถทำเป็นอาหารได้สิบกว่าชนิด ทั้งผัด ทอด ต้ม ตุ๋น ยัดไส้ด้วยเห็ด ถั่ว ฯลฯ
หลังจากที่แม่กินมังสวิรัติแล้ว ก็ไม่มีผลอะไรกับผมเลย เพราะผมจะทำงานนอกบ้านตลอด ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ผมก็กินของผมเองตามปกติ คนที่แย่ที่สุดก็คือพ่อ แม่เป็นคนทำอาหารในบ้านมาตลอด ทำอร่อยด้วย อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นมังสวิรัติเลย พ่อซึ่งไม่ได้ศรัทธาอะไรแบบนี้มาก่อน กินข้าวแต่ละมื้อก็ลำบากยากเย็นไม่น้อย แต่พ่อก็ขี้เกียจจะทำเอง จะออกไปกินข้างนอกก็ขี้เกียจยิ่งกว่า ผ่านไปหนึ่งเดือนพ่อน้ำหนักลดลงไปสองสามกิโล เมื่อย้ายบ้านมาอยู่ที่เซินเจิ้นแล้วพ่อก็มีเพื่อนแค่ไม่กี่คน กำลังคิดว่าจะหัดตกปลาเป็นการฆ่าเวลาบ้าง แต่ก็ถูกแม่เอาเบ็ดไปซ่อนเสียก่อน แม่บอกว่าจะเล่นสนุกก็ไม่ควรต้องทำร้ายชีวิตสัตว์ งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของพ่อก็ถูกหักคอแขวนเข้าตู้ไปเรียบร้อย ชีวิตของพ่อเฒ่าก็เลยดูจืด ๆ ไป ถึงตอนนี้แม่ผมก็กินมังสวิรัติมาได้หลายเดือนแล้ว และดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเสียด้วย ผมกับพ่อจึงตกลงกันว่าต้องคุยกับแม่จริง ๆ สักที
อันที่จริงผมมีความรู้สึกว่าการที่แม่มากินมังสวิรัติไม่ได้เป็นเพราะบังเกิดมีใจเมตตาขึ้นมาเท่านั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ท่านหาทางออกจากชีวิตที่ไม่ได้อย่างใจหวังมากกว่า ตลอดชีวิตของท่านที่ขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อทำมาค้าขาย ผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง ถ้าจะวัดด้วยตัวเงิน ถือได้ว่าครึ่งค่อนชีวิตที่ผ่านมาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเลย ความฝันหลายอย่างไม่เป็นจริง ความทะเยอทะยานที่เคยมีก็สลายกลายเป็นฟองไปหมดแล้ว เรื่องกินมังสวิรัติเนี่ย ลดละกิเลสทำใจให้บริสุทธิ์เนี่ย คนก็แก่ลงทุกที ในเมื่อไม่ได้สิ่งที่เคยอยากได้เสียแล้ว ก็เลยปลอบใจตัวเองด้วยการบอกตัวเองว่าไม่อยากได้แล้ว ผมกับพ่อพยายามพูดกับแม่ด้วยความเป็นห่วง แต่แม้ว่าจะใช้คำพูดที่หนัก ๆ เข้ม ๆ อย่างมากที่สุดเท่าที่จะพูดได้แล้ว แม่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจเลย ไม้สุดท้ายเราลงทุนถึงขั้นขอร้องกันเลย ขอเพียงแต่ให้ยอมกลับมากินอาหารทั่วไปเหมือนเดิมเท่านั้น จะมีเงื่อนไขอะไรมาแลกก็ได้ทั้งนั้น แต่แม่ก็ยังไม่ยอมโอนอ่อนอยู่ดี
ในเมื่อห้ามไม่ฟัง ก็ต้องปล่อยตามใจท่านไป เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
การกินมังสวิรัติทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ชีวิตของแม่อยู่ไม่น้อย ร้านอาหารข้างนอกที่พอจะกินได้นั้นมีนับร้านได้เลย จะสั่งอาหารแต่ละอย่างก็ต้องระมัดระวังมาก ไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ต้องเอาแว่นตามาส่องอ่านส่วนประกอบบนซองหรือกล่องอย่างละเอียด เวลาที่เราออกไปข้างนอกด้วยกัน ในกระเป๋าของท่านมักจะมีอาหารพกติดไปด้วย ถ้าไปกินข้าวข้างนอกแล้วหาร้านที่มีอาหารมังสวิรัติไม่ได้ เราก็สั่งอาหารของเรา ส่วนแม่ก็สั่งแต่ผัก น้ำร้อนสำหรับแช่หมั่นโถวหรือขนมปังกรอบ จำยอมกินให้มันผ่าน ๆ ไปมื้อหนึ่งเท่านั้น
ผมเคยขอร้องท่านอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วหลายครั้งว่า อย่าดื้อดึงอีกเลย ทำอย่างปกติคนอื่นเขาได้ไหม ท่านก็ยังเหมือนเดิม ท่านคิดว่าการกินมังสวิรัติก็เป็นเรื่องปกติมาก โลกนี้มีของที่กินได้มากมาย ทำไมต้องอาศัยการฆ่าเพื่อให้ท้องเราอิ่ม เมื่อได้ทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็กลายเป็นนิสัยความเคยชิน ท่านจึงไม่รู้สึกว่าลำบากยากเย็นอะไรอีกเลย
ผมบอกแม่ว่า ผมยังไม่ได้แต่งงานเลย รอผมแต่งเมื่อไหร่ก็ต้องมีงานเลี้ยงใช่มั้ย ถึงตอนนั้นแล้วญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็จะมากันหมด จะให้เอาแต่ใจแม่คนเดียวไม่ได้หรอกนะ ถ้าอาหารบนโต๊ะแม่บอกว่าอันนี้ก็ไม่กิน อันนั้นก็ไม่รับ มันจะได้หรือ?
แม่ตอบว่า ถ้าแกได้แต่งงานก็เป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรมีสัตว์ใดที่ต้องถูกฉีกเนื้อถลกหนังเพื่องานมงคลแบบนี้
คำพูดนี้ของแม่ทำให้ผมประหลาดใจมาก เพราะเมื่อก่อนแม่จะมีแต่เร่งให้ผมแต่งงานเร็ว ๆ ถ้าคุยกันถึงเรื่องที่ผมจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ แม่จะตั้งตารออย่างมาก จะเอาอะไรก็ยอมทั้งนั้น ทุกครั้งที่ท่านมาเร่งรัด ผมจะต่อต้านเต็มที่ มาตอนนี้ท่านสงบลงแล้ว กลายเป็นผมเองที่ร้อนใจ
เมื่อก่อนแม่ก็ทำอาหารได้อร่อยน่ากินมาก สามารถทำอาหารจานเด็ดอย่างหมูอบหรือหมูกรอบก็ได้ ผมมักจะกินจนเกลี้ยงแถมแทบไม่พอเอาด้วยซ้ำ อันที่จริงถ้าผมอยากกินอะไรแล้วท่านไม่ทำให้ ผมก็ไปหาซื้อกินนอกบ้านได้ หรือผมจะทำเสียเองก็ยังได้ แต่ผมก็ยังอยากให้ท่านได้กินของดี ๆ บ้าง ได้กินอยู่อย่างมีความสุขเหมือนคนอื่น ๆ บ้าง
เวลาผ่านไปสามปี เร็วเหมือนแค่พริบตาเดียว ระหว่างนั้นผมไม่เคยหยุดขอร้องท่านเลย มีโอกาสเมื่อไรเป็นต้องพูด แล้วก็โต้แย้งกัน มีความคิดที่จะโน้มน้าวเปลี่ยนใจท่านมาตลอด ผมคิดเสมอว่าจะดึงท่านกลับมาให้จงได้
ผมเคยเป็นกังวลมากเรื่องสุขภาพของท่าน กลัวว่าท่านจะขาดสารอาหาร จึงพาท่านไปตรวจสุขภาพอยู่หลายครั้ง ยังดีที่ค่าการตรวจวัดต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับปกติ ทำให้ผมเป็นห่วงน้อยลงมาก แต่การกินมังสวิรัติกลับไม่ได้ทำให้ท่านผอมลงเลยสักนิด พูดตรง ๆ ท่านก็ยังเป็นคนอ้วนเหมือนเดิม
เวลากินข้าวโต๊ะเดียวกัน เราก็ต่างคนต่างกิน ส่วนใหญ่ผมกับพ่อก็จะพูดโน้มน้าวแม่ แต่แม่ไม่ค่อยได้พูดโน้มน้าวอะไรเราเท่าไร เพราะแค่ต้องตอบโต้คำพูดของเราท่านก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้ว
บางครั้งแม่ก็จะพูดถึงหนังสือที่เคยอ่านมาบ้าง พูดถึงความทุกข์ทรมานที่สัตว์ได้รับ ผมกับพ่อก็ไม่ค่อยจะสนใจฟัง เพราะชีวิตที่เราเป็นอยู่ดูเหมือนจะปกติดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ มนุษยชาติก็กินอยู่แบบนี้มาแต่โบร่ำโบราณ มันคงยังไม่ถึงเวลาที่เราจะมาคิดเรื่องนี้อย่างละเอียดว่ามันผิดหรือถูกอย่างไร อีกอย่างหนึ่ง เนื้อที่เรากินก็ซื้อมาจากร้านค้า ไม่ต้องไปเห็นการฆ่าอย่างทารุณด้วยตาตัวเอง จึงไม่เคยมีความรู้สึกผิดบาปอะไรเลย
ปี ๒๐๑๔ ผมได้ไปเที่ยวที่มองโกเลียใน ได้รับการต้อนรับจากเพื่อนอย่างดี ลงจากเครื่องบินก็ขึ้นรถตรงไปเขตชนบททันที แล้วผมก็ได้เห็นทิวทัศน์สวยงามเหมือนในฝัน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลและฝูงแกะกระจายไปทั่ว และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ขี่ม้าจริง ๆ ตอนเย็นขากลับจากทุ่งหญ้า คุณลุงได้ซื้อลูกแกะจากคนเลี้ยงมาตัวหนึ่ง แล้วพามันกลับบ้านในตัวอำเภอด้วยกัน
เจ้าตัวเล็กสูงประมาณหัวเข่าของผมได้ ขนสีขาว ๆ เทา ๆ ของมันเมื่อลูบดูจะรู้สึกทั้งนุ่มและอบอุ่น บนหลังของมันยังมีใบหญ้าติดอยู่เลย คงจะติดมาตอนที่มันวิ่งเล่นในทุ่ง ผมอุ้มมันเข้าไปในห้องรับแขก ปกติมันจะอยู่ในคอกเก่า ๆ บนทุ่งหญ้า ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่มันได้เข้ามาอยู่ในห้องของคน ทีแรกมันก็ดูมีอาการตื่นกลัวอยู่ แต่ไม่นานนักมันก็ร่าเริงขึ้นมา มันกระโดดไปมาอยู่ในห้องนั้น ร้องทักทายทุกคนด้วยเสียงร้องแบ๊ะ แบ๊ะ ผมเอาหญ้าป้อนให้มันกิน พอกินอิ่มมันก็งอขาหน้าย่อลง ทำเหมือนการแสดงความเคารพ เอาหัวซบลงที่ขาของผม
วันรุ่งขึ้นพอผมตื่นขึ้นมาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้ออบอวลไปทั่วทั้งห้อง รู้สึกหิวจนทนไม่ไหว คว้าเสื้อผ้ามาสวมได้ก็บึ่งไปที่ห้องครัวทันที ตอนเดินผ่านลานในบ้าน มองเห็นกองเลือดอยู่กองหนึ่ง มีชามอลูมิเนียมอุ่น ๆ วางอยู่หลายใบ ในนั้นมีเลือดใส่ไว้เต็ม ๆ ที่ข้าง ๆ กันมีหนังแกะผืนเล็ก ๆ แขวนอยู่ ที่หลังของมันยังมีเศษหญ้าติดอยู่เลย ถึงตอนนี้ผมถึงคิดขึ้นมาได้ว่า ที่เมื่อวานเราพามันกลับมาบ้านก็เพื่อเป็นอาหารสำหรับต้อนรับการมาของผมนี่เอง
เนื้อนั้นตุ๋นเสร็จแล้ว ผมก็กินไปบ้างนิดหน่อย บอกตามตรง ครั้งนั้นเป็นเนื้อแกะที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาในชีวิต แต่มันก็เป็นอาหารมื้อที่ทรมานใจมากที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน อาจจะเป็นผลกรรมก็ได้ที่ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืมภาพที่มันวิ่งเล่นจนเหนื่อยแล้วมาคุกเข่าซบลงตรงหน้าผมเลย หากไม่ใช่การมาเยือนที่นั้นของผม แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันก็คงจะถูกฆ่าอยู่ดี แต่อาจจะได้อยู่อีกหลายวัน ยังได้วิ่งเล่นล้มลุกล้มกลิ้งอยู่ข้างตัวพ่อแม่ของมันอีกหลายหน ยังได้เห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อีกหลายครั้ง
ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งที่ผมเคยเขียนไว้ในหนังสือ เป็นคำพูดของซานจื่อ และซานจื่อก็มีตัวตนอยู่จริง ๆ ด้วย
ผมถามเขาว่า "เลี้ยงหมูก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ? ได้เงินด้วย ทำไมถึงบอกว่าไม่ทำซะแล้วล่ะ"
ซานจื่อถอนหายใจ ไม่ตอบอะไร ลุกขึ้นยืนแล้วจุดบุหรี่ให้ตัวเอง เติมน้ำในแก้วให้ผม แล้วก็นั่งลงไปอีก
เขาบอกว่า "แกรู้มั้ย จริง ๆ แล้วหมูมันฉลาดมากนะ เวลานอนมันฝันได้ด้วย เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านฉันเคยตั้งชื่อให้พวกมัน ฉันรู้สึกว่าเวลาเรียกชื่อมัน มันก็ฟังเข้าใจด้วย"
ซานจื่อสูดควันบุหรี่หนึ่งคำแล้วพูดต่อ "พอถึงฤดูที่ต้องออกจากคอก รถรับซื้อหมูจะขับมาจอดถึงหน้าบ้าน พวกมันเหมือนจะรู้ พยายามยันรั้วคอกไว้อย่างสุดฤทธิ์ ไม่ยอมออกมา ปกติมันไม่เป็นอย่างนั้น พวกมันเตะถีบกันสุดชีวิต พวกมันรู้ว่าขึ้นรถไปแล้วเนี่ย จะไม่มีวันได้กลับมาอีกเลย พอเข้าไปอยู่ในลูกกรงและเอาขึ้นรถแล้ว ตอนรถจะออก พวกมันจะไม่โวยวายกันแล้ว มันจะหันหน้ากลับมามองดูบ้าน บ้านที่ดูห่างออกไปเรื่อย ๆ"
เขาบอกว่าเงินที่ได้จากการขายหมู ได้มาก็ไม่รู้จะยังไงดี ไม่กล้าใช้ เวลาใช้ก็รู้สึกลำบากใจ
ตอนซานจื่อเล่าเรื่องนี้ เขายิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก เขาบอกว่า "ฉันพูดไม่ค่อยเก่ง บอกไม่ถูก ความรู้สึกแบบนี้แกคงไม่เข้าใจหรอก"
พวกมันเกิดมาในโลกนี้ก็ถูกเรากำหนดชีวิตไว้หมดแล้ว จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเรา เป็นแบบนี้มาตลอด พวกมันไม่มีความสามารถจะต่อต้านได้ พวกเราก็ยิ่งใหญ่เสียจนไม่เคยเหลียวแลความรู้สึกของพวกมันมานานแล้ว
ผมเป็นแค่คนเดินดินคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นผู้มีเมตตาหรือมีปัญญาอะไร ตอนนี้ผมก็ยังกินเนื้ออยู่ และก็ไม่คิดว่าจะตัดความอยากทางปากนี้เสียได้ เรื่องการกินมังสวิรัตินี้ผมบอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิดอย่างไร ยิ่งไม่มีคำตอบให้ด้วยว่าดีหรือไม่ดี ผมเล่ามาเสียยืดยาวขนาดนี้ เพราะผมเองก็ตีบตันและสับสนเหมือนกัน
แต่ผมคิดว่า นับแต่นี้เป็นต้นไปผมจะไม่ขัดเรื่องที่แม่กินมังสวิรัติอีกแล้ว มีเรื่องหลายเรื่องที่ยากเกินไปสำหรับผม แต่การยืนหยัดของแม่นั้น สุดท้ายก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง มันอาจจะเป็นอย่างที่ซูตงพอ (苏东坡 กวีในสมัยราชวงศ์ซ่ง) กล่าวไว้ก็ได้ รสชาติที่เรียบง่ายนี่แหละเป็นรสชาติอันผาสุกของชีวิต ถ้าสามารถควบคุมความอยากของตัวเองแล้วได้รับความสงบในจิตวิญญาณ ก็นับว่าเป็นวาสนาของแม่ ถ้าสามารถเอาประโยชน์จากโลกให้น้อยลงแล้วรู้สึกยินดีพอใจได้ มันก็ยิ่งเป็นบุญของท่าน
สัตว์เหล่านั้นแม้อย่างไรก็ต้องถูกกิน ก็หวังว่าก่อนตายมันจะได้รับความทุกข์และทรมานน้อยลงบ้าง เพราะกฎหมายไม่อาจปกป้องจิตวิญญาณในโลกให้มีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีได้ทั้งหมด จิตใจอันเป็นกุศลนี้เองจึงสำแดงคุณค่าอันเติมเต็มและเด่นชัดขึ้นมาได้
เรามักจะหวังให้โลกเป็นคุณแก่เราเสมอ เอาใจเทียบกับใจกันแล้ว ใช่หรือไม่ว่าเราก็ควรจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้โลกนี้มีความโหดร้ายทารุณลดน้อยลงด้วย?
เขียนโดย บล็อกเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า 回忆专用小马甲
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20161207/026839.htm
11 ก.ค. 2560
คิดตามข่าว - เก็บเงินได้ ๗ แสน คืนเจ้าของ
เงินที่เก็บได้ |
ข่าวภาษจีนจากเว็บไซต์ news.qq.com
วันที่ ๘ กรกฎาคม ที่เขตกันจิ่งจื่อ เมืองต้าเหลียน ประเทศจีน สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังเก็บเศษขยะอยู่ พบถุงพลาสติคสีดำใบหนึ่งในกองขยะ ในนั้นมีธนบัติ ๑๐๐ หยวนจำนวน ๑๕ ปึก เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ หยวน (ประมาณ ๗๖๕,๐๐๐ บาท) สองสามีภรรยาได้นำเงินไปมอบให้เจ้าหน้าที่ และได้คืนให้แก่เจ้าของ ซึ่งต่อมาเจ้าของเงินได้เล่าให้ฟังว่า คนในบ้านคิดว่าถุงใส่เงินนั้นเป็นขยะจึงนำไปทิ้ง ไม่คิดเลยว่าจะได้คืนเร็วขนาดนี้ เขาได้หยิบเงินออกมา ๑ หมื่นหยวนเพื่อเป็นการขอบคุณ แต่กลับถูกปฏิเสธ
สองสามีภรรยามอบเงินคืนให้แก่เจ้าของ |
ที่มา http://news.qq.com/a/20170711/002904.htm?pgv_ref=aio2015&ptlang=2052#p=1
คิดตาม - คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีใจสันโดษ ใจพอ ไม่ขี้โลภอยากได้ทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน ทรัพย์ที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ เป็นผู้ที่มีอำนาจแห่งบุญเป็นเครื่องประหารกิเลสโลภในตนได้ มีกุศลอันได้ทำไว้เป็นสมบัติติดตัวไปเป็นอันมาก แม้ว่าเจ้าของเงินจะให้เงินตอบแทนก็ยังไม่รับ นับว่าเป็นผู้มีใจประเสริฐ มีความเจริญ เป็นบุคคลที่สังคมควรยกย่องเป็นอย่างยิ่ง
มันน่าคิดนะว่าถ้าเราเก็บเงินได้มากขนาดนี้ เราจะตัดสินใจอย่างไร ใช้เวลานานแค่ไหนในการตัดสินใจว่าจะเก็บไว้หรือจะหาทางคืนเจ้าของดี สมมติว่าเราบอกว่าจะคืนเจ้าของก็ตาม ถ้าจำนวนเงินยิ่งมากกว่านี้ล่ะ ถึงล้าน สิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน หรือล้านล้าน ... หรือเราเก็บได้ในที่ลับตาคนมาก ๆ ไม่มีใครเห็นนอกจากตัวเราเอง เราจะยังไม่หวั่นไหวต่อความอยากได้ในใจบ้างหรือเปล่า
ถ้าเราไม่ได้อบรมจิตให้มาก ๆ ให้มีความสันโดษใจพอ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป มีความเห็นอกเห็นใจผู้ที่จะเดือดร้อนทุกข์ใจจากการสูญเสียทรัพย์ จนมันกลายเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งในจิตของเรา จนสามารถทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องได้ในทันทีโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อยว่าเงินจำนวนนี้จะให้อะไรแก่เราได้ นั่นแหละเราจึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง
8 ก.ค. 2560
พิษ ๕ ในมุมมองของนักจิตวิทยา
ศาสนาพุทธ (มหายาน) สอนว่ากิเลสนั้นเกิดจากต้นเหตุสำคัญ ๖ ประการ ได้แก่ พิษ ๕ และการยึดอัตตา อุปสรรคทั้ง ๖ อย่างนี้เองที่ปิดกั้นปัญญา ทำให้จิตของเรามืดบอด พิษ ๕ อย่างในจิตนี้ประกอบด้วย โลภ โกรธ หลง อวิชชา และสงสัย มันเปรียบเหมือนยาพิษที่ขัดขวางการเจริญในธรรม เราจำเป็นต้องทำลายพิษ ๕ อย่างนี้ให้ได้จึงจะเห็นแสงสว่างแห่งพุทธิปัญญา
ทุกวันนี้ความรู้ในพุทธศาสนาถูกนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของการศึกษาจิตวิทยาสมัยใหม่ ในครั้งนี้ ศาสตราจารย์จู้จัวหง (祝卓宏) แห่งสถาบันวิจัยจิตวิทยา มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ประเทศจีน จะอธิบายไขความให้เราฟังเรื่องพิษ ๕ ในศาสนาพุทธ ดังนี้
โลภ - การติดอยู่ในอดีตและอนาคต
ความโลภนั้นมีหลายอย่าง โดยทั่วไปก็คือความโลภในทรัพย์ กิน กาม เกียรติ ชีวิตคนทั่วไปล้วนหัวทิ่มหัวตำอยู่ในความโลภ เกลือกกลิ้งอยู่ในโลกียสุขอันเกิดจากโลภะ ไม่สามารถพาตัวเองออกมาได้ ในทางจิตวิทยาวิเคราะห์ได้ว่า ความโลภเกิดจากความเจ็บปวดในอดีต ความไม่พอใจต่อความเป็นจริงในปัจจุบัน และความกังวลใจต่ออนาคต ด้วยเหตุแห่งโลภจึงหลงหลุดออกจากความเป็นจริงอย่างหนัก หลงติดอยู่ในความสุขสบาย ติดอยู่ในมายาของอดีตและอนาคตที่ตนเองสร้างขึ้นมา
ลาภ ยศ สรรเสริญ ชีวิตที่เอาแต่กิน สูบ ดื่ม เสพ หลายคนยอมตนเป็นทาสของมัน เหมือนตัวละครตัวหนึ่งในซีรี่ส์เรื่อง "ในนามของประชาชน" (人民的名义) ที่ชื่อจ้าวเต๋อฮั่น เพราะความยากจนข้นแค้นในอดีตเขาจึงหาเงินอย่างบ้าคลั่งถึงสองร้อยล้านหยวน หรือตัวละครอีกตัวหนึ่งที่ชื่อเกาอวี้เหลียง เขาเลิกกับภรรยาตั้งนานแล้ว แต่เพื่อผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายจึงยังยอมอยู่บ้านเดียวกันต่อไป
ในชีวิตจริง อาการของโลภะอย่างเบาก็คือการติดในของอร่อย ช้อปปิ้ง บุหรี่ เหล้า ฯลฯ อย่างหนักก็คือการดิ้นรนแสวงหายศตำแหน่ง เงินเดือนสูง ๆ เส้นสาย หรืออยากรวย เป็นต้น ล้วนเป็นความโลภทั้งสิ้น เพื่อลาภ เพื่อยศ บางคนถึงขนาดไม่สนใจถูกผิดดีชั่ว ไม่เลือกวิธีการ จนกระทั่งชื่อเสียงกลายเป็นโซ่ตรวนผูกมัด ผลประโยชน์กลายเป็นกองไฟเผาตัวเอง และในที่สุดความปรารถนาที่ควบคุมไม่ได้เหล่านี้จะกลืนกินทั้งสุขภาพและจิตใจอันดีงามของเราไปจนหมดสิ้น
คนที่มีความโลภจัดควรจะได้สัมผัสชีวิตที่เป็นจริงให้มาก ๆ เสริมสร้างความประณีตละเอียดอ่อนทางประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึมซับถึงสาระที่แท้ของชีวิตบ้าง และพึงสังวรว่า "ต่อให้มีนาเป็นพันไร่ก็กินข้าวได้แค่วันละสามมื้อ มีบ้านมีตึกเป็นพันหลังก็นอนได้แค่เตียงแปดฟุต"
ความสุขและความยินดีไม่เคยได้มาด้วยความโลภ ความมักน้อยรู้จักพอต่างหากจึงจะเป็นสุขอย่างยั่งยืน ลองออกไปดมกลิ่นหอมของดอกไม้บ้าง ชิมรสหวานของผลไม้บ้าง จับเข่าพูดคุยสนทนากับคนในครอบครัวบ้าง อย่าเอาแต่รับ อย่าเอาแต่ให้ ไม่เอาแต่คิด ไม่เอาแต่ขอ จัดการกับส่วนที่เกินของชีวิตด้วยหลักของการ "ทาน" ในศาสนาพุทธ เอาความปิติสุขที่ได้จากการแบ่งปันให้ผู้อื่นมาถมเติมจิตใจที่กลวงเปล่าเพราะความโลภ
โกรธ - อารมณ์อัดอั้นที่หาทางระบายออกไม่ได้
โกรธตรงข้ามกับโลภ โลภเป็นภาวะอารมณ์ของความพึงใจ โกรธเป็นภาวะอารมณ์ที่ไม่พึงใจ ไม่ชอบใจ โกรธคือโมโหโทโส เมื่อเราเจอเรื่องที่ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ อยากจะหลีกหนีหรือควบคุมมัน แต่ก็มีหลายครั้งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ จึงก่อเกิดเป็นความโกรธ
ความโกรธมีที่มาสองอย่าง อย่างแรกคือเหตุภายนอกที่ไม่เป็นไปตามความต้องการหรือแผนการของเรา อย่างที่สองคือเราเองหาทางออกจากทุกข์หรือความไม่พอใจไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ คนเราจึงเกิดจิตโกรธแค้นที่มักต่อสู้ขัดขืน อยากเอาชนะ เมื่อร่างกายของเราถูกทำร้ายหรือศักดิ์ศรีโดนลบหลู่ ก็จะเกิดจิตที่อยากจะแก้แค้นหรือทำร้ายฝ่ายตรงข้าม
เรื่องทะเลาะเบาะแว้งต่าง ๆ เช่น ซื้อของแล้วได้ของไม่ครบบ้าง ถูกคนแอบเอาเรื่องไปนินทาฟ้องร้องบ้าง สามีภรรยาต่อว่ากันอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ฯลฯ ถ้าหากเราสะกดใจให้ยอมอ่อนลงไม่ได้ก็จะทำให้ความขัดแย้งเหล่านี้ถูกยกระดับขึ้น กลายเป็นการใช้คำพูดทิ่มแทง ด่าว่ากัน หรือถึงขั้นลงไม้ลงมือต่อสู้กันได้ ศาสนาพุทธมีคำสอนว่า ความโกรธแค้นสามารถเผาทำลายบุญกุศลจนมอดไหม้หมดสิ้น เราจึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงผลวิบากจากความโกรธให้ได้
อดทนไว้ก่อน แล้วคลื่นลมก็จะสงบลง ยอมเขาบ้าง ทะเลก็จะโล่งฟ้าก็จะโปร่ง เมื่อใจเราเกิดอารมณ์ในทางลบ เช่น ร้อนรุ่ม เคียดแค้น เคืองโกรธ ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับเสียบ้าง ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีอคติ แน่นอน ไม่ใช่ว่าจะต้องให้เราก้มหน้าก้มตายอมรับการดูถูกดูหมิ่นแต่อย่างเดียว แต่เราต้องพิจารณาด้วยเหตุผลให้เห็นชัดเจนในส่วนที่เป็นความดื้อดึงของเราเองด้วย
คนอารมณ์ร้อนขี้โกรธควรจะอ่านเรื่องแนวเปรียบเทียบที่ให้ข้อคิดบ่อย ๆ เช่น คนที่ตกลงไปในโคลนตม ยิ่งตะเกียกตะกายก็ยิ่งจมลึกลงไป เวลาที่อยากระบายโทสะมาก ๆ ให้ลองคิดว่า "เราจะออกจากอารมณ์เพื่อตามดูอารมณ์" ฝึกหัดตัวเองให้รู้จักปล่อยวาง "ใครจะชมหรือจะด่าก็ไม่หวั่นไหว มองดูดอกไม้หน้าบ้านบานบ้างโรยบ้าง จะไปหรือจะอยู่ก็ไม่เป็นไร แหงนหน้าดูฟ้าดูเมฆลอยม้วนลอยล่องไปตามสายลม"
หลง - อาการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน
เมื่อถูกชื่อเสียงคำสรรเสริญเข้าครอบงำ ด้วยความโง่เขลา ความเร่าร้อน และความมืดบอด คนเราก็มักจะโอ่อวด อวดชื่อเสียง อวดความสามารถ อวดมั่งอวดมี เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเรียกว่า "หลง" ในทางจิตวิทยา ความหลงหมายถึงพฤติกรรมหรือท่าทีที่เกิดจากการยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ดื้อดึงเอาแต่ใจ ทำให้เป็นคนใจร้อน เย่อหยิ่ง และเกียจคร้าน
คนที่มีนิสัยอวดดีจะทำลายความรู้สึกผู้อื่นเสมอ ทำให้เสียการงานและไม่บรรลุเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น บางคนประสบความสำเร็จนิดหน่อยทางด้านการเรียนหรือการงานก็มักจะอวดดี คิดว่าตัวเองเก่ง หรือลูกคนรวย ลูกคนใหญ่คนโตที่ชอบทำตัวเป็นคนชั้นสูง อวดร่ำอวดรวย เป็นชีวิตที่มีแต่การเปรียบเทียบแข่งขันและมักจะคิดว่าตนเองเก่งกว่าผู้อื่นเสมอ คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้อื่นไม่ชอบใจ ยังปิดกั้นปัญญาของตนเองให้มืดบอดด้วย สุดท้ายก็ตัวเองนั่นแหละที่จะต้องเสียหาย เพราะมันจะทำให้เรามองไม่เห็นข้อดีของผู้อื่นเลย
ความเย่อหยิ่งอวดดีก่อให้เกิดจิตที่ไม่พากเพียร ขี้เกียจ เพราะคิดว่าตัวเองนั้นดีสุดแล้ว ไม่ต้องพัฒนาอะไรอีก ดังนั้น วิธีแก้ไขในการปรับปรุงพฤติกรรม เราควรจะมีความฝัน ตั้งเป้าหมายและทิศทางที่จะทำให้เจริญขึ้น กำหนดแนวทางให้ชัดเจน ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ความอยากต่าง ๆ ที่แทรกเข้ามา มุ่งหน้าไปตามทิศทางแห่งคุณค่าที่เราตั้งไว้ให้ได้
การตั้งจิตอ่อนน้อมถ่อมตนมาแทนที่จิตที่อวดดีถือดี รักษาสภาวะจิตเป็นแบบน้ำที่ไม่เต็มแก้วเอาไว้เสมอ ก็จะสามารถล้างความมานะถือดีได้ หากรู้จักรักษาจิตที่อ่อนน้อมถ่อมตนไว้ก็จะสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ
อวิชชา - ความสับสนระหว่างความจริงกับความลวง
อวิชชาหรือความไม่รู้ คือการถือเอาความเห็นเป็นความจริง ถูกทำให้สับสนด้วยเรื่องหรือถ้อยคำที่ผิวเผิน มันมักจะนำไปสู่ความหลงใหลและความคิดเพ้อเจ้อ ในทางจิตวิทยา มันคือการสับสนปนเปกันระหว่างความรับรู้ในสมองกับความเป็นจริงในโลก มีผลให้แยกแยะเรื่องราวเหตุผลไม่ได้ ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของตนเอง ไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น
อวิชชาหรือบางทีเราจะเรียกว่าความลุ่มหลงก็ได้ ในบางกรณีก็อาจจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง
ตัวอย่างเช่น การหลงรักใครสักคน หรือลุ่มหลงในงานอดิเรก เช่นการถ่ายภาพ วาดภาพ เป็นต้น ความลุ่มหลงในการแสวงหาความฝันของชีวิต สิ่งเหล่านี้จะมองว่าเป็นอวิชชาอย่างหนึ่งก็ได้ แต่อวิชชาแบบนี้มีประโยชน์ในการสร้างสรรค์งานและอนาคตของเราได้ระดับหนึ่ง
ในอีกด้านหนึ่ง อวิชชาอย่างหนักเป็นความหลงใหลที่จะทำให้เรากลายเป็นคนทึบทื่อ เหตุผลบอดใบ้ เช่น การหลงใหลชีวิตส่วนตัวของดารา ไม่เอาใจใส่การเรียนหรือการงาน ไม่รู้จักชื่นชมศิลปะหรือความสามารถของผู้อื่น เป็นเหมือนกับสโลแกนสร้างชาติในอดีตที่ตั้งไว้อย่างสวยหรูว่า "ในสามปีจะแซงหน้าอังกฤษ ห้าปีจะไล่ทันอเมริกา" เป็นการคิดฝันเกินความเป็นจริงไปไกลมาก อวิชชาแบบนี้จะกลายเป็นอุปสรรคถ่วงความเจริญในการพัฒนาตน พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และพัฒนาประเทศชาติ
จิตที่มีอวิชชาคือการหลงยึดชนิดหนึ่ง การล้างความติดยึดนี้เราจะต้องแยกแยะความเห็นกับความรู้ให้ได้ก่อน ความเห็นก็ให้อยู่ในส่วนของความเห็น ความจริงก็ให้เป็นส่วนของความจริง เช่น เมื่อพบว่าเราได้หลงติดอยู่กับความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งเสียแล้ว ให้พิจารณาทบทวนความเห็นนั้นซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ ลองอ่านความเห็นนั้นด้วยความรู้สึกหลาย ๆ แบบ เช่น สงสัย ถามแย้ง ยินดี เสียใจ เป็นต้น
ทำอย่างนี้แล้ว เราจะรู้ตัวได้ว่าสิ่งที่เราติดอยู่นั้นเป็นเพียงความเห็นเท่านั้น หรืออาจจะใช้ท่าทีแบบเป็นคนนอกมองดูตนเองก็ได้ ให้บอกกับตัวเองว่า "เราพบว่าในหัวของเรามีความเห็นอย่างหนึ่งคือ..."
แน่นอน การลุ่มหลงในงานสร้างสรรค์แม้จะมีประโยชน์บ้าง แต่ก็ต้องให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอดี อย่าหลงใหลจนเกินไป ไม่เช่นนั้นก็อาจจะกลายเป็นอุปสรรคในการพัฒนาตนเองได้เหมือนกัน
ลังเลสงสัย - การขาดความมั่นใจในตนเองเพราะไม่มีศรัทธาให้ยึดเหนี่ยว
สงสัยหมายถึงความลังเลสงสัย ไม่มั่นใจ เกิดความสงสัยและปฏิเสธโดยที่ไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงเลย ความสงสัยในศาสนาพุทธไม่ได้หมายถึงความสงสัยใคร่รู้ เพราะการสงสัยใคร่รู้เป็นแรงผลักดันให้เราค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้และอนาคต แต่สงสัยในที่นี้คือการเชื่อตัวเองอย่างมืดบอด
คนเราถ้าสงสัยมากไปก็จะหลงทางออกจากศรัทธาและทิศทางแห่งความเจริญได้ ในแต่ละวันที่ผ่านไปจะไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตกหลุมแห่งความรู้สึกว่า "ชีวิตว่างเปล่าไร้ความหมาย" ดังในปัจจุบันที่สังคมเราอยู่ในกระแสของวัฒนธรรมแบบฟาสต์ฟู้ด ทำให้เราไม่มีเวลาได้ซึมซับคุณค่าทางวัฒนธรรม ไม่รู้จักเป้าหมายของชีวิต
ในขณะที่การแข่งขันในสังคมยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงไม่มีเวลาและความสามารถพอที่จะเรียนรู้ เข้าใจ และรื่นรมย์กับชีวิต พอมีอะไรมาทำให้สับสนหรือกระทบแรง ๆ เข้า ผลกระทบอย่างเบาก็ทำให้มีปมปัญหาค้างคาในใจ อย่างหนักก็ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง การที่ไม่มีเข็มทิศชีวิตของตัวเอง ปัญหาการขาดความศรัทธายึดเหนี่ยวของเยาวชนทุกวันนี้มีความรุนแรงอย่างมาก ดังมีคำที่พูดกันบ่อย ๆ ว่า "เรียนไปก็ไม่ได้ใช้" หรือ "ครอบครัวกาไก่ให้กำเนิดห่านหงส์ไม่ได้" สภาพเช่นนี้ทำให้เราหันหลังให้อดีต ปฏิเสธปัจจุบัน บางครั้งเราก็มีความเห็นแกว่งไปแกว่งมา บางทีเราก็แล่นไปหาอนาคตพร้อมกับหอบเอาความสงสัยใหม่ ๆ ไปด้วย
Romain Rolland นักคิดนักเขียนชาวฝรั่งเศสมีความเห็นว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนที่ไม่มีศรัทธาในสิ่งใดเลย ไม่ว่าประเทศชาติหรือบุคคล ถ้ามีศรัทธาก็จะสามารถก้าวไปสู่ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แสดงศักยภาพของตนออกมาได้ การที่จะละทิ้งความลังเลสงสัยนั้น เราต้องค้นหาสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตแต่ละช่วงเวลาให้ได้ กำหนดเป้าหมายของแต่ละช่วงให้ชัดเจน และเลือกเดินตามเส้นทางที่มีคุณค่าแก่ชีวิตตนเอง
เขียนโดย 祝卓宏 高阳
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170705/029328.htm
หมายเหตุ พิษ ๕ ในที่นี้แปลเอาตามตัวอักษรในภาษาจีนคือ 五毒 (อู่ตู๋) ซึ่งพอจะเทียบเคียงได้กับนิวรณ์ ๕ ของเถรวาท แต่ก็ไม่ตรงกันเสียทีเดียว ในส่วนของคำอธิบายก็พยายามแปลให้ได้ใจความที่อ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่ได้ยึดถือตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัดนัก
5 ก.ค. 2560
พระพุทธเจ้าเป็นครู ไม่ใช่เทพ
คำถามคำตอบเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และโลกทัศน์แบบศาสนาพุทธมหายาน
ถาม - พระพุทธเจ้าเป็นเทพหรือไม่? ทำไมต้องกราบไหว้พระพุทธรูป? การจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปมีความหมายอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - พระพุทธเจ้าไม่ใช่เทพ แต่เป็นครู การกราบไหว้เคารพด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ใช่การอ้อนวอน แต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง คือการเคารพพระพุทธเจ้า คือการลดทิฐิมานะในตัวตนของเรา การจุดธูปเทียนก็เพื่อแสดงออกถึงความเคารพที่มาจากใจ เป็นการเตือนตัวเองให้ตั้งมั่นในศีลที่บริสุทธิ์เพื่อสืบสานบำรุงพระรัตนตรัยสืบไป
ธรรมะของพระพุทธเจ้าปฏิเสธเทพเจ้าภายนอกที่มีฤทธิ์ครอบงำสรรพสิ่ง ชีวิตของมนุษย์สามารถกำหนดได้ด้วยตนเอง ด้วยการเรียนรู้ธรรม มนุษย์จะสามารถรู้จักและเข้าใจโลกและกฎเกณฑ์ของชีวิตได้อย่างถูกต้อง ทำให้ชีวิตของเรามีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น
ถาม - พระพุทธรูปสร้างขึ้นมาจากไม้บ้าง อิฐหินดินปูนบ้าง การกราบไหว้พระพุทธรูปมีความหมายอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - พระพุทธรูปทำมาจากไม้บ้าง อิฐหินดินปูนบ้าง แต่จิตใจของมนุษย์ไม่ใช่ไม้ ไม่ใช่อิฐหินดินปูน ถ้าเราคิดว่าพระพุทธรูปเป็นไม้ มันก็เป็นแค่ไม้ ถ้าเราคิดว่ามันคือพระพุทธรูป มันก็เป็นตัวแทนของพระเมตตาและพระปัญญาอันยิ่ง การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติที่ใจ ไม่ใช่การปฏิบัติภายนอก พระพุทธรูปสร้างขึ้นก็เพื่อกระตุ้นเตือนใจของเราให้ระลึกถึงเท่านั้น ก็เหมือนกับภาพถ่าย มันก็เป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่ถ้าในภาพถ่ายนั้นมีภาพของญาติของเรา เมื่อเห็นภาพเราจึงเกิดความรู้สึกใกล้ชิดอบอุ่น การกราบไหว้พระพุทธรูปไม่ใช่การกราบไหว้แท่งไม้หรืออิฐหินดินปูน แต่เป็นการแสดงความเคารพนบนอบต่อ "ธรรม" ที่ถูกแทนค่าด้วยพระพุทธรูปเท่านั้น
ถาม - พุทธคืออะไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - พุทธก็คือผู้รู้ รู้ตื่นในสัจธรรมของชีวิตในจักรวาล ดับกิเลสทั้งปวงสิ้นแล้ว ชีวิตเข้าถึงขอบเขตที่เจริญด้วยคุณความดีอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พระองค์ได้แบ่งปันเผยแพร่ความรู้อันยิ่งนี้ รวมทั้งวิธีปฏิบัติฝึกฝนเพื่อให้บรรลุถึงความรู้นี้แก่ผู้อื่น ซึ่งก็คือพระธรรม ให้ทุกคนสามารถบรรลุความเป็นพุทธได้โดยการเดินในเส้นทางสายนี้
ถาม - พระพุทธเจ้ากับเทพเจ้าต่างกันอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - คนทั่วไปเข้าใจความหมายของคำว่า "เทพเจ้า" ว่าสามารถดลบันดาลได้ทุกสิ่ง สามารถครอบงำและกำหนดควบคุมทุกอย่าง ในขณะที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้ทุกสิ่ง แต่ไม่สามารถดลบันดาลได้ทุกสิ่ง พระพุทธเจ้าไม่สามารถกำหนดตัดสินชีวิตคนได้ พระองค์เพียงแต่ตรัสรู้ความจริงของจักรวาลเท่านั้น และเปิดเผยแก่คนบนโลก ขอเพียงแต่เรายอมรับและเดินตามเส้นทางที่พระองค์บอกไว้ เราทุกคนก็จะสามารถบรรลุความเป็นพุทธได้เช่นกัน
ถาม - ทำไมจึงต้องบรรลุเป็นพุทธ ต้องตั้งจิตอย่างไรจึงจะได้บรรลุเป็นพุทธ?
พระอาจารย์เสวเฉิง - พุทธแปลว่าการตื่นรู้ ตื่นรู้ทุกสิ่งในโลก รู้ความจริงของชีวิต ทำให้สามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้สิ้น พัฒนาขึ้นเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐอย่างสมบูรณ์แบบ เข้าถึงความเป็นอิสระอย่างยิ่ง เป็นคุณค่าอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์
ตัวอย่างเช่น เด็กคนหนึ่ง พ่อแม่จะสอนให้มีเป้าหมายของชีวิตตั้งแต่เล็ก เช่น "โตขึ้นจะเป็นนักวิทยาศาสตร์" ไม่ได้แปลว่าเขาจะมีคุณสมบัติของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ในทันที เขาต้องเริ่มต้นเรียนรู้ตั้งแต่การอ่านเขียน แล้วค่อย ๆ พัฒนาเติบโตขึ้น การบรรลุเป็นพุทธก็เหมือนกัน เป็นปณิธานอันสูงยิ่ง ต้องใช้เวลาในการปฏิบัติฝึกฝนอย่างยาวนาน การบรรลุไม่ใช่เพื่อการมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่เพื่อทำให้ชีวิตของตนเองเจริญถึงความสมบูรณ์อันสูงสุด จิตใจกว้างขวางอย่างถึงที่สุด เมื่อพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว จะสลายความคิดที่แบ่งแยกเราเขาได้อย่างหมดสิ้น สามารถทำหน้าที่ให้ประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์ได้อย่างไร้ขอบเขต อนึ่ง ลัทธิขงจื๊อสอนให้คนมีปณิธานเพื่อเป็นวิญญูชน ฝึกฝนตนเองเพื่อดูแลครอบครัว ปกครองประเทศ และสร้างสันติสุขให้แก่โลก เป้าหมายนี้มีส่วนที่เหมือนกันกับศาสนาพุทธ ที่สอนให้บรรลุเป็นพุทธเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกทั้งปวง ต่างก็ฝีกฝนปฏิบัติพัฒนาตนเองก็เพื่อปรับปรุงและเพิ่มพูนประโยชน์สุขของผู้คนให้เจริญขึ้น
ถาม - บรรลุพุทธแล้วจะมีสภาวะอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - การบรรลุพุทธเป็นสภาวะที่ปุถุชนไม่สามารถจะคิดนึกเอาได้ว่าเป็นอย่างไร การบรรลุคือการดับกิเลสโดยสิ้นเชิง ดับทุกข์ มีทั้งเมตตาและปัญญาอย่างสมบูรณ์ ถึงยิ่งแล้วด้วยความบริสุทธิ์ ความสงบ ความยินดี ความเป็นอิสระ และความไม่เกรงกลัวใด ๆ
ถาม - ปัญญาของพุทธแสดงออกอย่างไร
พระอาจารย์เสวเฉิง - คือการรู้แจ้งถึงเหตุปัจจัยทั้งหมดของสรรพสิ่ง ไม่ถูกสภาวะใด ๆ ผูกมัด จงอ่านในคัมภีร์พุทธธรรมให้มาก จะได้พบเห็นปัญญาของพระพุทธเจ้าอยู่เนือง ๆ
ถาม - การบรรลุเป็นพุทธกับการหลุดพ้นต่างกันอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - การบรรลุเป็นพุทธมีเป้าหมายคือการช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ ไม่ใช่การพ้นทุกข์เฉพาะตน จะต้องช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ด้วย ส่วนการหลุดพ้นคือการออกจากการเวียนตายเวียนเกิดในภพทั้ง ๖ ถ้าต้องการเพียงการหลุดพ้นเฉพาะตน ให้ละความยึดในตัวตนก็พอแล้ว แต่หากต้องการบรรลุเป็นพุทธ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวดด้วย
ถาม - ทำไมจึงต้องสนับสนุนและบำรุงพุทธ พุทธกับคนธรรมดาต่างกันอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - การสนับสนุนบำรุงนี้ไม่ใช่ความต้องการของพระโพธิสัตว์ แต่เป็นความจำเป็นของสัตว์โลก สัตว์โลกมักจะคิดถึงตัวของตัวเองอยู่เสมอ มีความโลภอยากได้ในสิ่งที่รักที่ชอบทั้งหลาย ด้วยการเสียสละและบำรุงพุทธจะสามารถล้างจิตที่ขี้โลภของตนได้ เป็นเครื่องมือของการปฏิบัติธรรม ศีลข้อต่าง ๆ ที่บัญญัติขึ้นก็เหมือนกัน กำหนดขึ้นก็เพื่อช่วยให้เราหลุดออกจากโคลนตมแห่งกิเลสทั้งห้าได้ อาศัยความบริสุทธิ์จากภายนอกมาชำระล้างกิเลสในจิตของเรา ความแตกต่างระหว่างพุทธกับคนธรรมดาอยู่ที่จิต ไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์
ถาม - พุทธคืออะไร? ธรรมคืออะไร? พุทธธรรมคืออะไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - พุทธคือผู้ที่ตื่นรู้ ธรรมคือการปฏิบัติเพื่อการตื่นรู้ พุทธธรรมแบ่งเป็นสองอย่างคือพุทธวจนะกับสาวกธรรม พุทธวจนะคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ปฏิบัติเองจนตรัสรู้ รวมทั้งประสบการณ์ชีวิตของพระพุทธองค์ด้วย ส่วนสาวกธรรมคือประสบการณ์จริงที่มีผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้วได้รับผลจริงเป็นของตนเอง
ถาม - พระรัตนตรัยคืออะไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือพระรัตนตรัย เหตุที่เรียกว่ารัตนะเพราะสิ่งเหล่านี้อุบัติขึ้นเป็นสิ่งมีค่าที่หาได้ยาก เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์โลกอย่างยิ่ง ขอเพียงเราปฏิบัติตาม ก็จะเป็นสมบัติติดตัวไป ตกน้ำตกไฟก็ไม่สูญสลาย โจรก็ปล้นเอาไปไม่ได้ แม้ตายไปแล้วก็ยังไม่มีใครเอาไปจากเราได้ เป็นสมบัติส่วนตัวที่จะมีใช้ไปได้หลายชาติไม่มีหมด สมบัติแก้วแหวนเงินทองในทางโลกไม่สามารถจะเทียบได้เลย
สามสิ่งนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน พุทธรัตนะคือบุคคลที่ปฏิบัติจนถึงความสมบูรณ์ด้วยคุณบารมีและปัญญาแล้ว แสดงธรรมที่ปฏิบัติจนสำเร็จแล้วด้วยตนเองแก่โลก ซึ่งก็คือธรรมรัตนะ ส่วนสังฆรัตนะคือผู้ที่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า และช่วยเหลือสัตว์โลกในการปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า
ถาม - ทำไมจึงมีฆราวาสที่นับถือเพียงสองรัตนะ?
พระอาจารย์เสวเฉิง - เหตุที่เกิดมีฆราวาสนับถือสองรัตนะ ส่วนใหญ่เกิดจากคนที่ไม่เห็นกิเลสในตัวเอง มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง มองเห็นพฤติกรรมของหมู่สงฆ์เพียงด้านเดียวอย่างมีอคติ จึงเกิดความเข้าใจผิดหรือถึงขั้นตำหนิว่าร้าย ถือว่าเป็นการเห็นผิดอย่างร้ายแรง
ถาม - หัวใจของพระธรรมคืออะไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - หัวใจของพระธรรมคือเมตตาและปัญญา
ถาม - โลกทัศน์ของศาสนาพุทธเป็นอย่างไร?
พระอาจารย์เสวเฉิง - ในจักรวาลไม่มีสิ่งใดที่เป็นอยู่อย่างอิสระโดด ๆ วัตถุหรือปรากฏการณ์ทั้งหลายดูเผิน ๆ เหมือนว่าเป็นอิสระโดยตัวมันเอง แต่ภายในล้วนอิงอาศัยกันและกันอย่างมากมายและสลับซับซ้อน ในฐานะคน ๆ หนึ่ง ไม่มีพฤติกรรมใดเลยที่จะไม่มีอิทธิพลต่อผู้อื่น ในขณะเดียวกัน สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเหตุปัจจัยอันซับซ้อนในจักรวาลก็มีอิทธิพลต่อตัวเราด้วย ดังนั้น เราจึงต้องสนใจพฤติกรรมทั้งของตนเองและผู้อื่น สนใจอิทธิพลและความสัมพันธ์ของเรากับสังคมและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง พยายามปฏิบัติตนในทิศทางที่เป็นกุศล นี่คือโลกทัศน์ของศาสนาพุทธที่เห็นสรรพสิ่งเกิดจากความว่าง สรรพสิ่งคือองค์รวมหนึ่งเดียว และมีสภาพเป็นอยู่อย่างประสานสอดคล้องกัน กายและจิตไม่เป็นสอง เราและเขาไม่เป็นสอง มีชีวทัศน์และโลกทัศน์ที่ถือเอาความเมตตาและปัญญาเป็นแก่นแกนสำคัญ
ตอบคำถามโดย 学诚法师 (พระอาจารย์เสวเฉิง)
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170605/024822.htm
หมายเหตุ แปลเอาความเท่าที่ผู้แปลมีภูมิเท่านั้น อาจไม่ตรงความหมายในทางมหายานทั้งหมด แต่ประเด็นหลักที่นำมาแปลคือการยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ และศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม นอกจากนี้ แนวคิดของมหายานจะเน้นถึงความเป็นโพธิสัตว์ที่มุ่งช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ และทุกคนสามารถบรรลุความเป็นพุทธเหมือนพระพุทธเจ้าได้
3 ก.ค. 2560
กรรมไม่สามารถลบล้างให้เกลี้ยงได้ แต่กิเลสล้างได้
วิบากกรรมที่เราทำมาในอดีตนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ชาติปางก่อน ๆ เป็นร้อยเป็นพันชาติหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ จะล้างให้หมดได้อย่างไรกัน เธอต้องออกจากภพชาติให้ได้เท่านั้น อย่างเช่นพระอรหันต์เจ้า ท่านดับภพจบชาติได้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าท่านลบล้างวิบากกรรมได้หมด เพราะวิบากกรรมนั้นอย่างไรก็ล้างไม่หมดแน่นอน
ในลัทธินอกศาสนาพุทธทั้งหกในอินเดียมีบางลัทธิที่ปฏิบัติด้วยการทรมานตน บำเพ็ญทุกรกิริยา พวกเขาก็รู้ดีว่าวิบากกรรมในอดีตนั้นมีมากมาย ต้องได้รับทุกข์แน่นอน พวกเขาจึงคิดไปว่าจะล้างวิบากเหล่านั้นให้หมดไป จึงทรมานตนเองอย่างเอาเป็นเอาตายทีเดียว เป็นการปฏิบัติด้วยการทำให้ตนเองต้องรับทุกข์ โดยคิดเอาว่าเมื่อได้รับทุกข์จนหมดสิ้นแล้วก็จะหลุดพ้น ก็จะบรรลุธรรม
วิธีนี้เป็นวิธีการที่โง่เขลามากของคนไร้ปัญญา เพราะแม้แต่ตอนที่ท่านทรมานตนเองอยู่นั้นก็ได้สร้างวิบากกรรมใหม่อยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะมโนกรรม เกิดเป็นวิบากอยู่อย่างต่อเนื่องทีเดียว อีกทั้งกายกรรม วจีกรรมก็ด้วย วิบากกรรมอันเกิดแต่อดีตตั้งแต่ชาติก่อน ๆ นับไม่ถ้วน หาจุดเริ่มต้นไม่ได้ มีมากมายคณานับ จะล้างให้หมดสิ้นได้อย่างไร
มีแต่ต้องล้างกิเลสให้สิ้นเกลี้ยงเท่านั้น เมื่อไม่มีกิเลสไปหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธุ์ของวิบากกรรมเหล่านั้นแล้ว วิบากกรรมก็จะแห้งเฉาตายไปเอง จะไม่งอกขึ้นมาอีก ข้อนี้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ 俱舍 อย่างชัดเจน
ดังนั้น การหลุดพ้นจากการเกิดการตายก็คือการดับกิเลสทั้งปวง ส่วนวิบากกรรมนั้นล้างไม่หมดหรอก เหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าต้องหลีกห่างจากเหตุแห่งทุกข์ทั้งสิ้น ซึ่งก็คือตัดกิเลสให้ขาดสิ้นทั้งหมดนั่นเอง
เขียนโดย 智敏上师
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170629/014515.htm
1 ก.ค. 2560
กินมังสวิรัตินานเท่าไรจึงจะเป็นคนร่างใหม่
มีนักมังสวิรัติเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่กินมังสวิรัติมาตั้งแต่แรกเกิด ในขณะที่นักมังสวิรัติส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมาเป็นคนที่กินมังสวิรัติในภายหลัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะต้องกินมังสวิรัติเป็นเวลานานเท่าใดร่างกายทั้งหมดจึงจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้
เม็ดเลือดแดงในตัวเราถูกสร้างมาจากไขกระดูก เม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์นั้นเมื่อถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดแล้วจะมีอายุใช้งานประมาณ ๑๒๐ วันจึงจะถูกสลายไป ดังนั้น ในเวลาประมาณ ๔ เดือนนับจากวันที่เราเริ่มกินอาหารมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง เลือดในร่างกายของเราจะเปลี่ยนเป็นเลือดชุดใหม่ทั้งหมด ในเลือดจะปลอดจากองค์ประกอบของสัตว์โดยสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็น "เลือดเจ"
ในการสร้างเซลล์ใหม่ของร่างกาย รอบของการผลัดเปลี่ยนเนื้อกระดูกกินเวลาค่อนข้างยาวนาน ต้องใช้เวลาประมาณ ๗ ถึง ๑๐ ปี ดังนั้น หลังจากที่เริ่มกินมังสวิรัติแล้ว อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง ๗ ปีจึงจะผลัดเปลี่ยนกระดูกทั้งร่างได้หมด และกลายเป็นร่างของ "มนุษย์เจ"
... ... ...
สัตว์จำพวกวัว แพะ กระต่าย ฯลฯ เป็นสัตว์ที่กินพืชอย่างเดียว เป็นสัตว์ที่ไม่ดุร้าย ไม่ซับซ้อนเหมือนคน และคนที่ไม่ได้เป็นนักมังสวิรัติหลายคนมักจะเยาะหยันชาวมังสวิรัติอยู่บ่อย ๆ ว่า "เจที่ปากแต่เจไม่ถึงใจ" หมายความว่าพฤติกรรมกับความคิดไม่สอดคล้องกัน เพราะยังกินเนื้อสัตว์เทียมประเภทเนื้อเจ ไก่เจ ปลาเจอยู่ แสดงว่าในใจยังคงติดเนื้อสัตว์อยู่
วัวหรือแพะกินแต่พืชกับนักมังสวิรัติกินแต่ผัก ด้านกายภาพอาจจะคล้าย ๆ กัน แต่ลึก ๆ แล้วมีความแตกต่างกันอย่างมาก สมองของสัตว์ที่กินพืชยังไม่พัฒนาเท่าสมองมนุษย์ มีความฉลาดน้อยกว่ามนุษย์มาก โครงสร้างของร่างกายของพวกมันเป็นสัตว์กินพืชโดยธรรมชาติ ถ้ามันถูกบังคับให้กินอาหารที่มีองค์ประกอบของสัตว์อยู่ด้วย มันก็จะติดเชื้อและเป็นโรควัวบ้าได้ง่าย ดังนั้น วัวหรือแพะที่กินแต่พืชก็เป็นมังสวิรัติโดยบังคับ มันไม่มีสิทธิ์เลือกเป็นอย่างอื่น
แต่มนุษย์นั้นมีความฉลาดกว่า คนที่เป็นนักมังสวิรัตินั้นรู้และเข้าใจทางเลือกของตนเองอย่างแจ่มแจ้ง แล้วเลือกแนวทางชีวิตที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับตนเอง ไม่กระทบเสรีภาพของผู้อื่น เคารพชีวิตสัตว์อื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับมนุษยชาติ ละเลิกจากอาหารรสอร่อยที่คนทั่วไปชอบ เป็นเหตุผลที่ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่า สามารถใช้อิสรภาพในการเลือกกำหนดชีวิตของตนเองอย่างเต็มที่
จิตวิญญาณของนักมังสวิรัตินั้น พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือไม่ชอบความรุนแรงและรักสันติภาพ การมีจิตใจดีหรือไม่ดีย่อมมีผลหลายอย่าง อันดับแรกคือมีผลต่อตนเอง และมีผลต่อคนรอบข้าง ยิ่งมีฐานะตำแหน่งสูงก็ยิ่งมีผลมาก มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากเลย ถ้าตัวเรามีความสุข คนรอบข้างก็จะรู้สึกได้ถึงความสุขนั้นด้วย ถ้าเราเป็นทุกข์ คนรอบข้างก็ไม่สามารถสบายใจได้ เวลาที่เราโกรธ คนรอบข้างก็จะรู้สึกกลัว ผู้นำประเทศมหาอำนาจเพียงคนเดียวที่มีความโกรธก็สามารถก่อสงครามทำลายล้างมนุษยชาติได้ การเป็นมังสวิรัติเฉพาะเรื่องการกินที่ปากเท่านั้น ก็เป็นประโยชน์อยู่แค่สุขภาพร่างกายส่วนตนเท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นนักมังสวิรัติทั้งพฤติกรรมและจิตใจ จึงจะนับว่าเป็นนักมังสวิรัติที่แท้จริง
เนื้อเจ ไก่เจ ปลาเจ ชื่อเรียกเหล่านี้มันก็เป็นแค่ภาษาเท่านั้น เราไม่ควรดูแต่ผิวเผิน สิ่งสำคัญก็คือ ถ้าอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ ไม่ขัดต่อหลักการใหญ่ เราควรจะกินได้อย่างสบายใจ ชื่อและรูปลักษณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพ่อค้าผู้ผลิต เพื่อให้เอื้อต่อผู้ที่เพิ่งเริ่มกินมังสวิรัติใหม่ ๆ เพราะเขายังติดความเคยชินเก่า ๆ อยู่ไม่มากก็น้อย จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัว แน่นอนว่าถ้ารูปลักษณ์มันดูเหมือนสัตว์มากเกินไปก็คงไม่ทำให้เราสบายใจนัก หลังจากกินมังสวิรัติไปนาน ๆ ในใจก็คงไม่ติดภาพของไก่ เป็ด วัว แพะอีกแล้ว ชื่อเรียกก็ไม่ได้เป็นสาระสำคัญอะไรอีกแล้ว เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางการค้าอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียของทุกอย่างในโลกก็ต้องมีชื่อเรียกอยู่แล้ว
... ... ...
นักโภชนาการเคยทำการทดสอบมาตรฐานความอ่อนวัยของมนุษย์ไว้ โดยใช้อายุ 25 ปีเป็นเกณฑ์ และตรวจสอบความแตกต่างด้านกายภาพภายนอกระหว่างผู้ที่ดูอ่อนหรือแก่กว่าอายุจริง โดยกำหนดความแตกต่างของวัยไว้ที่ 4 ปี เช่น คนที่ดูอ่อนวัยเมื่ออายุ 25 ปีจะดูเหมือนอายุ 21 ปี ส่วนคนที่ดูแก่กว่าวัยเมื่ออายุ 25 ปีจะดูเหมือนอายุ 29 ปี เป็นต้น ถ้าใช้คนอายุ 30 ปีเป็นเกณฑ์ ความแตกต่างของวัยด้านกายภาพก็จะดูแตกต่างกัน 8 ปี เมื่ออายุ 40 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 12 ปี เมื่ออายุ 55 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 14 ปี เมื่ออายุ 60 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 16 ปี และเมื่ออายุ 80 ปีก็จะดูแตกต่างกัน 20 ปี
ดังนั้น ผู้ที่ดูแลตัวเองดี ๆ เมื่อมีอายุ 80 ปีก็จะดูเหมือนคนอายุ 60 ปี แต่ถ้าไม่ดูแลตัวเองก็จะดูเหมือนคนอายุ 100 ปี เห็นแล้วแตกต่างกันมากจริง ๆ
นักมังสวิรัติถ้ามีสุขภาพแข็งแรงเป็นปกติ ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน อารมณ์ดี ออกกำลังกายพอเหมาะ ส่วนใหญ่แล้วจะดูอ่อนกว่าวัย ยิ่งมีอายุมากขึ้นก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
... ... ...
โทษของการกินเนื้อสัตว์
(๑) พิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
เมื่อเรากินเนื้อสัตว์เข้าไปแล้ว จะเกิดพิษอย่างน้อย ๕ อย่าง
๑. เวลาที่สัตว์ถูกฆ่า ร่างกายของมันจะเจ็บปวดอย่างรุนแรง และในจิตของมันจะเกิดความหวาดกลัว ความเคียดแค้นพยายาท ความทุกข์ระทมต่าง ๆ ก่อให้เกิดพิษขึ้นในร่างของมัน เมื่อถูกกินเข้าสู่กระเพาะและลำไส้ของมนุษย์ ถูกย่อยแล้วดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ทำให้เซลล์ตามอวัยวะต่าง ๆ ของเราได้รับพิษ เซลล์ก็เสื่อมลง หนักเข้าก็เป็นป่วยเป็นโรคและตาย
ห้องทดลองทางจิตวิทยาแห่งหนึ่งที่วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ได้ทำการทดลองตรวจสอบผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายที่เกิดจากภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนไป วิธีทดลองคือวางหลอดแก้วทดลองในน้ำเย็น โดยให้ปากหลอดอยู่ด้านบน แล้วให้ผู้ทดลองพ่นลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วนั้น ลมหายใจนั้นเมื่อถูกความเย็นก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำอยู่ภายในหลอดแก้ว ผลการทดลองพบว่า ถ้าจิตใจของผู้ทดลองอยู่ในอารมณ์ปกติ หยดน้ำในหลอดทดลองจะใสไม่มีสี เหมือนน้ำปกติ แต่ถ้าผู้ทดลองอยู่ในอารมณ์เคียดแค้น โกรธ กลัว หรือริษยาเป็นต้น หยดน้ำในหลอดแก้วจะเป็นสีต่าง ๆ กันไป เมื่อทำการวิเคราะห์ทางเคมีต่อ ก็พบว่ามีสารพิษที่ร้ายแรงถึงขั้นทำลายชีวิตได้ทีเดียว เขาได้นำหยดน้ำที่เกิดจากอารมณ์ริษยาให้หนูทดลองดื่ม หนูจะตายภายในเวลาไม่กี่นาที น้ำพิษที่เกิดจากอารมณ์เคียดแค้นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง มีพิษร้ายแรงพอที่จะฆ่าคนตายได้ถึง ๘๐ คน นอกจากนี้ ผลจากการทดสอบจริงพบว่า แม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูกในขณะที่มีภาวะอารมณ์ผิดปกติ มีผลกระทบต่อตัวทารกอย่างเบาก็เจ็บป่วย อย่างหนักก็อาจถึงตาย
ตัวอย่างผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ชิ้นนี้แสดงให้เห็นเรื่องสำคัญอย่างน้อยสองข้อ
ก. ความเจ็บปวดรวดร้าวในชั่วขณะที่สัตว์ถูกคร่าชีวิตนั้น ภาวะอารมณ์ของสัตว์ที่ถูกกระทำอย่างรุนแรงจะกระตุ้นให้เซลล์ทั่วร่างกายของมันสร้างปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น เกิดเป็นสารพิษร้ายแรงขึ้นทั่วร่างกาย เมื่อคนกินเนื้อสัตว์ ก็จะกินสารพิษเหล่านั้นเข้าไปด้วย ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยต่าง ๆ ทั้งชนิดสะสมและฉับพลัน จนถึงขั้นก่อให้เกิดเนื้องอก มะเร็งได้
ข. อารมณ์ที่เป็นโทษต่าง ๆ จะก่อให้เกิดสารพิษในเซลล์ของเราได้ ดังนั้น โรคทางกายต่าง ๆ ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยทางใจ ในทางกลับกัน อารมณ์ที่เป็นบวกต่าง ๆ เช่น อารมณ์สงบนิ่ง ยินดี พอใจ รักและเมตตา เป็นต้น สามารถกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงานในเซลล์ได้ ทำให้เซลล์ขับของเสียออกไปได้เร็ว ดูดซึมธาตุอาหารได้เต็มที่ จึงส่งผลให้ร่างกายมีพลัง แข็งแรง กระปรี้กระเปร่า มีสุขภาวะดีและดูอ่อนเยาอยู่เสมอ ดังนั้น การปฏิบัติจิตก็เป็นการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดหนทางหนึ่ง จิตเป็นกุศลหรืออกุศล คือเส้นแบ่งของการมีสุขภาพดีและสุขภาพไม่ดี
๒. หลังจากที่สัตว์ถูกฆ่า เซลล์ในร่างของมันจะหยุดทำงานทันที โปรตีนในเนื้อสัตว์จะควบแน่นและหลั่งเอนไซม์สลายตัวเองออกมา ทำให้กล้ามเนื้อเริ่มเน่า เกิดความเป็นพิษขึ้น เรียกว่า พิษจากซากศพ เมื่อเรากินเนื้อเข้าไปในท้อง มันจะค่อย ๆ ผ่านผนังลำไส้ของมนุษย์ซึ่งโดยธรรมชาติไม่เหมาะกับการย่อยเนื้อสัตว์อยู่แล้ว ต้องใช้เวลาประมาณ ๕ วันจึงจะเคลื่อนไปถึงอวัยวะขับถ่าย (อาหารมังสวิรัติใช้เวลาเพียง ๑ วันครึ่ง) สารพิษจากเนื้อเน่าเหล่านี้จะค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่ผนังลำไส้ สุดท้ายจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในลำไส้ พิษจากซากศพชนิดนี้แม้ว่าจะผ่านการปรุงด้วยความร้อนแล้วก็ยังไม่สลายไป กลายเป็นปัจจัยแรก ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งในระบบกระเพาะอาหารและลำไส้
๓. โลกปัจจุบันมีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความเจริญทางวัตถุก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้มีดีมานด์ของอาหารเนื้อสัตว์เพิ่มสูงขึ้นมาก ในกระบวนการทำปศุสัตว์ส่วนใหญ่จะทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เลี้ยงจำนวนมาก ให้อาหารจำนวนมาก ขนส่งจำนวนมาก และฆ่าทีละมาก ๆ ชีวิตอันแสนสั้นของสัตว์เหล่านี้เกิดและเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เบียดเสียดหนาแน่น ถูกบีบคั้น ถูกปิดกั้น ถูกผูกมัด ถูกแขวนห้อย อยู่ในที่มืด ๆ หรือถูกแสงไฟสว่างจ้า พื้นที่สกปรกและเหม็น ร่างกายของมันถูกกระทำจนได้รับความเจ็บปวดต่าง ๆ นานาสารพัด จิตของมันย่อมเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เป็นโทษทุกรูปแบบ กระตุ้นให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นโรคและหลั่งสารที่เป็นพิษออกมา แฝงฝังอยู่ในตัวของสัตว์นั้น เมื่อเรากินเนื้อสัตว์ที่เป็นโรคเป็นพิษเหล่านี้เข้าไป ถ้าเราไม่ป่วยไม่ได้รับพิษก็แปลกเกินไปแล้ว
๔. นักวิทยาศาสตร์จัดให้มนุษย์ที่กินเนื้อสัตว์เป็นพวกที่อยู่ปลายสุดของห่วงโซ่อาหาร เริ่มจากพืชได้อาหารจากแสงแดด อากาศ และน้ำ สัตว์กินพืช สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก และคนกินสัตว์ ปัจจุบันนี้ที่นาและสวนผลไม้ทั่วโลกต่างพากันพ่นสารเคมีที่เป็นพิษเพื่อฆ่าแมลงศัตรูพืช สารเคมีเหล่านี้ก็ไปตกค้างอยู่ในตัวของสัตว์ที่กินพืช มันจะอยู่ในไขมันของสัตว์ตลอดไป สัตว์ที่กินเนื้อของสัตว์กินพืชเข้าไปก็รับเอาสารพิษเคมีการเกษตรเข้าไปในไขมันของมันด้วย คนกินเนื้อสัตว์ก็กลายเป็นผู้รับเอาสารพิษนั้นไปเก็บไว้ในตัวเป็นคนสุดท้าย จากการสำรวจทางวิทยาศาสตร์พบว่า ปริมาณสารพิษจากยาฆ่าแมลงที่อยู่ในเนื้อสัตว์สูงกว่าในผัก ผลไม้ และหญ้าถึง ๑๓ เท่า ยาฆ่าแมลงเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของโรคมะเร็ง คนที่กินผักหรือผลไม้ยังสามารถขจัดสารพิษออกด้วยการล้างหรือปอกเปลือกได้บ้าง เรียกว่าพอจะหลีกเลี่ยงหรือลดทอนการได้รับพิษให้เหลือน้อยที่สุดได้จากการกินพืชผัก
๕. เนื้อสัตว์ที่รอการขายในที่ต่าง ๆ เมื่อถูกเก็บไว้นานเข้าก็จะเริ่มเน่าและเปลี่ยนสี เพื่อที่จะรักษาสีของความสดเอาไว้ ผู้ค้าหลายคนจึงใส่สารกันบูดจำพวกไนเตรทหรือกรดดินประสิวลงไปโดยพลการ เมื่อเรากินเข้าไปจะกลายเป็นสารพิษรุนแรงที่ก่อมะเร็งได้
นอกจากจะก่อให้เกิดมะเร็งได้แล้ว คนที่กินเนื้อสัตว์มากเกินไป จะสร้างภาระอย่างหนักให้แก่ตับซึ่งทำหน้าที่สลายพิษในร่างกาย เมื่อตับทำงานหนักเกินไปก็จะสูญเสียความสามารถในการสลายพิษ กลายเป็นโรคตับเสื่อม ตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ เป็นต้น
(๒) เลือดเปลี่ยนสภาพเป็นกรด
คุณภาพของเลือดในตัวคนคือตัวชี้วัดว่าคนผู้นั้นมีสุขภาพดีหรือไม่ เลือดที่มีคุณภาพดีคือเลือดที่มีความเป็นด่างอย่างพอเหมาะ คือมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 7.35 หรือเท่ากับเป็นเป็นด่างเล็กน้อย
เมื่อร่างกายดูดซึมสารอาหารโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต จะเกิดสารที่เป็นกรดชนิดต่าง ๆ ขึ้น กรดที่มีฤทธิ์แรงเหล่านี้เมื่อตกค้างอยู่ในร่างกายจะก่อให้เกิดโรคได้ และยังทำให้ประสิทธิภาพในการผลักดันของเสียออกจากเลือดเสื่อมลงด้วย ดังนั้น เพื่อให้ระบบผลักดันของเสียทำงานได้อย่างเต็มที่ เลือดจำเป็นต้องมีองค์ประกอบของธาตุแคลเซียมและโปแตสเซียมในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อรักษาระดับความเป็นด่างอย่างพอเหมาะเอาไว้ มนุษย์จึงควรกินอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดให้น้อย และควรรับเอาแร่ธาตุที่มีฤทธิ์เป็นด่างจากอาหารให้มากพอ
เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่มีองค์ประกอบของธาตุฟอสฟอรัสและกำมะถันมาก เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นกรด ทำให้เลือดมีความเป็นกรด ขณะที่อาหารจากพืชส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ทำให้เลือดมีความเป็นด่าง แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง เช่น ข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนเอเชีย เป็นแหล่งธาตุอาหารและพลังงานหลักของร่างกาย ก็มีธาตุฟอสฟอรัสมากและทำให้เกิดกรดเหมือนกัน ดังนั้น นอกจากอาหารหลักแล้วเราจึงควรได้รับแร่ธาตุอื่น ๆ อย่างเพียงพอ หรือก็คือควรกินผักและผลไม้ให้มาก เพื่อให้เลือดอยู่ในภาวะที่เป็นด่างอย่างแข็งแรงอยู่เสมอ
อาหารเนื้อสัตว์ทำให้เลือดเป็นกรด เป็นสาเหตุเบื้องต้นของการเจ็บป่วย อาหารมังสวิรัติทำให้เลือดมีความเป็นด่างอยู่เสมอ ทำให้เลือดแข็งแรง เป็นพื้นฐานของการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
เลือดที่เป็นกรดยังเป็นแหล่งอาศัยอย่างดีของเซลล์มะเร็งอีกด้วย ดังนั้น การกินเนื้อสัตว์จึงเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็ง ในทางกลับกัน อาหารมังสวิรัติที่ช่วยสร้างความเป็นด่างให้แก่เลือด คือเทพีผู้กำราบโรคมะเร็งของเรา
(๓) เส้นเลือดอุดตัน
คอเลสเตอรอลที่อยู่ในไขมันสัตว์เมื่อเข้าสู่เส้นเลือดในตัวคนจะกลายเป็นของเหนียวหนืดคล้ายเทียนไข เกาะติดอยู่ที่ผนังหลอดเลือด สะสมไปเรื่อย ๆ หนาขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ช่องทางในหลอดเลือดแคบลงเรื่อย ๆ หัวใจซึ่งมีหน้าที่สูบฉีดเลือดจึงต้องทำงานหนักขึ้น ความดันในหลอดเลือดก็เพิ่มสูงขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย (โรคหัวใจ) หรือ stroke (หลอดเลือดในสมองแตก) จุดจบถ้าไม่เป็นอัมพาตครึ่งตัวก็เป็นทั้งตัวหรือเสียชีวิต โรคในระบบหมุนเวียนเลือดนี้ร้ายแรงพอ ๆ กับมะเร็ง เป็นนักฆ่ามือหนึ่งของมนุษย์เหมือนกัน สมาคมการแพทย์ของอเมริกาเคยรายงานว่า "มังสวิรัติสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ ๙๐ ถึง ๙๗ เปอร์เซ็นต์" เพราะในพืชไม่มีคอเลสเตอรอล แถมยังมีกากใยเป็นองค์ประกอบ มันทำหน้าที่คล้ายไม้กวาดในกระเพาะและลำไส้ของคน กวาดเอาของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการลงไปสู่ระบบขับถ่าย ขับออกนอกร่างกาย ดังนั้น มังสวิรัติไม่เพียงแต่สามารถป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดในสมองแตก ยังสามารถป้องกันโรคในระบบขับถ่ายได้ด้วย เช่น โรคนิ่วในไต นิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ท้องผูก uremia (อาการเป็นพิษในเลือด) ริดสีดวงทวาร ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น
(๔) ไตทำงานหนัก
ในเนื้อสัตว์มีของเสียจำพวกยูเรียและกรดยูริคอยู่มาก ไตของผู้ที่กินเนื้อสัตว์ต้องทำงานหนักกว่าคนที่กินมังสวิรัติถึง ๓ เท่าเพื่อกำจัดสารเหล่านี้ออกจากร่างกาย ทำให้การทำงานของไตเสื่อม กลายเป็นโรคไตหรือ uremia ซึ่งรักษาได้ยาก มันเป็นโรคที่ได้ชื่อว่า รักษาให้ดีขึ้นได้ยาก อัตราการเสียชีวิตสูง ค่ารักษาแพง และเจ็บปวดทรมานทั้งกายใจ
เมื่อไตไม่สามารถขับสารจำพวกไนไตรด์ออกได้ ยูเรียและกรดยูริคจะสะสมในร่างกาย ถูกดูดซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ กลายเป็นของแข็ง เป็นผลึก ถ้าผลึกแข็งเหล่านี้ไปเกาะอยู่ในข้อต่อของกระดูก ก็จะก่อให้เกิดอาการข้ออักเสบ เกาต์ โรคไขข้ออักเสบ ซึ่งรักษาไม่ได้ ต้องกลายเป็นผู้ป่วยอย่างทุกข์ทรมานจนกว่าจะเสียชีวิต
ถ้าผลึกแข็งเหล่านี้ไปรวมกันอยู่ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการระบบประสาทอักเสบ ปวดสะโพกได้ ถ้าเป็นหนักก็ถึงขั้นระบบประสาทส่วนกลางล้มเหลว motor nerve เส้นประสาทสัมผัสไม่ทำงาน กลายเป็นอัมพาตบางส่วนหรือทั้งตัว เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้
(๕) น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล
อินซูลินที่สร้างขึ้นมาที่ตับอ่อนในร่างกายของมนุษย์ เมื่อได้เจอกับอาหารที่คนกินเข้าไปในกระเพาะ มันจะกลายเป็นน้ำตาลเพื่อช่วยในการย่อย แต่เนื่องจากเนื้อสัตว์มีสภาพเป็นกรด จำเป็นต้องใช้อินซูลินจำนวนมากจึงจะสามารถย่อยได้ ดังนั้น การกินเนื้อมาก ๆ จึงเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ตับอ่อน และเมื่อตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ จะทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป กลายเป็นโรคเบาหวาน และส่งผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคเสื่อมลง เจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมอาหารและการฟื้นตัวทางกายภาพอย่างเคร่งครัด ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างระมัดระวัง จึงจะสามารถควบคุมการกำเริบของโรคได้ เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาให้หายขาดได้ยากและอัตราการเสียชีวิตสูง
ยาที่มีผลในป้องกันการเกิดโรคเบาหวานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดก็คืออาหารมังสวิรัติที่มีฤทธิ์เป็นด่างเท่านั้น
(๖) โรคติดเชื้อและสารพิษต่าง ๆ
สัตว์ก็เจ็บป่วยเป็นโรคได้เหมือนคน ยิ่งกว่านั้น สัตว์ไม่มีความรู้เรื่องสุขอนามัยเหมือนคน มันจึงกินของอันตรายเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นขยะ มูล อุจจาระ น้ำเสีย เศษอาหาร ซากสัตว์ที่ตายแล้ว ของเสียที่เป็นสารเคมี เป็นต้น ดังนั้น ในร่างกายของสัตว์จึงมักจะมีพิษสะสมหลายชนิด เช่น แบคทีเรีย เนื้องอก เซลล์มะเร็ง ฯลฯ และที่ผิวหนังและขนของมันก็มีพวกปรสิตแฝงตัวอยู่นับไม่ถ้วน ร่างกายของคนที่กินเนื้อสัตว์จึงเป็นเหมือนป่าช้าของซากศพที่เต็มไปด้วยโรค ความสกปรก และปรสิตเหล่านี้ เป็นภาวะที่น่าสยดสยองมาก มนุษย์ได้เอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าท้องตัวเองทุกวัน ๆ จึงไม่แปลกที่เราจะเจ็บป่วยกันอยู่เรื่อย ๆ มันเหมือนกับการจบชีวิตอันมีค่าด้วยการฆ่าตัวตายอย่างช้า ๆ
สรุป
ด้วยการกินอาหารมังสวิรัติ มันคือการกินเพื่อสุขภาพที่ดี คงไม่ต้องอธิบายซ้ำอีกแล้วล่ะว่ากินอาหารมังสวิรัติมีประโยชน์อย่างไร
คนที่ห่วงใยเรามากที่สุดคือคนใกล้ตัว พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนสนิท ฯลฯ อย่าให้พวกเขาต้องเป็นกังวลกับเราเลย ดังนั้น เรามาฝึกกินพืชผักที่มีรสชาติดีกันเถิด มากินมังสวิรัติอย่างแข็งแรงและเป็นสุขกันเถิด
เขียนโดย 觉慈
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20160623/051133.htm
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์
วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...
-
โลกเรานี้ยังมีชนเผ่าที่แปลก ๆ อยู่ไม่น้อยเลย หลาย ๆ ชนเผ่ามีเอกลักษณ์ที่ประหลาดพิสดารอย่างเหลือเชื่อ เช่น มีชนเผ่าหนึ่งอยู่บนเกา...
-
ถั่วลิสงเป็นอาหารที่คนจีนนิยมกินกันมาแต่โบราณ ว่ากันว่า การกินถั่วลิสงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและป้องกันโรคหัวใจ...
-
ใกล้จะครบสามเดือนแล้วที่ฉันได้เลิกกินเนื้อสัตว์ บางคนคิดว่าฉันเลิกเนื้อสัตว์เพื่อรักษาสุขภาพ บางคนก็คิดว่าฉันต้องการรักษารูปร่าง...