28 ส.ค. 2560
ทุกข์สุขของใครก็ตาม ล้วนเกิดแต่เหตุทั้งสิ้น
คนเลี้ยงสัตว์ผู้หนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งปศุสัตว์อันห่างไกลมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งเขาได้บังเอิญมีโอกาสเข้าไปในเมืองใหญ่ที่ทันสมัย เขาพบว่าคนในเมืองต่างก็ใช้หลอดไฟกันทั้งนั้น เขาจึงคิดว่า "สิ่งที่ให้ความสว่างนี้ดีจริง ๆ ฉันควรจะซื้อกลับไปบ้านสักอัน จะได้ไม่ต้องจุดตะเกียงน้ำมันทุกคืนอีก"
ดังนั้นเขาจึงได้ซื้อหลอดไฟกลับไปบ้านที่ชนบทด้วยหนึ่งหลอด เอาไปแขวนไว้ในกระโจมอย่างมีความหวัง แต่หลังจากแขวนท่าโน้นท่านี้อยู่นาน หลอดไฟก็ไม่สว่างสักที
เมื่อตอนที่เห็นหลอดไฟมีแสงสว่าง คนเลี้ยงสัตว์ผู้นี้ก็คิดอย่างปักใจแล้วว่า แค่ซื้อหลอดไฟกลับไปก็จะมีแสงสว่างแล้ว แต่เขาไม่เข้าใจเหตุที่แฝงซ่อนอยู่เบื้องหลัง หลอดไฟนั้นสว่างได้เพราะมีเหตุเบื้องปลาย แต่จะมีแสงขึ้นมาได้ยังต้องอาศัยเหตุเบื้องต้นคือไฟฟ้าและสายไฟด้วย
อันที่จริง ทุกข์สุขของทุกชีวิตก็ขึ้นอยู่กับเหตุเบื้องปลายและเหตุเบื้องต้นเหมือนกัน ตาเนื้อของเรามองเห็นก็แต่เหตุเบื้องปลายที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น มองไม่เห็นเหตุเบื้องต้นที่แฝงซ่อนอยู่ข้างหลัง
เป็นต้นว่าเราเห็นคนคนหนึ่งร่ำรวยขึ้น เราก็เห็นแค่ว่าเขาขยันพากเพียรและฉวยคว้าโอกาสได้จึงร่ำรวย แต่ไม่เห็นหรอกว่าในชาติปางก่อนเขาได้สั่งสมบุญบารมีมาอย่างไร
อาจจะมีบางคนคิดว่า "ความร่ำรวยไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับบุญบารมีเลย ก็แค่ขยันพากเพียรก็ได้แล้ว"
ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อยว่า เหตุใดเราจึงยังเห็นคนมากมายที่ทั้งชีวิตตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขยันขันแข็ง ออกจากบ้านแต่เช้ากว่าจะกลับก็ค่ำ ทุ่มเทกายใจไปกับการทำมาหาเงิน แต่ชีวิตก็ยังยากลำบากอยู่ ได้มาก็แค่พอประทังไปเท่านั้น ไม่มีเหลือกินเหลือใช้สักเท่าไร
รอบ ๆ ตัวเราคงต้องมีคนที่เป็นอย่างนี้อยู่ไม่น้อยเลย พวกเขาคิดหาทางสะสมต่าง ๆ นานาสารพัด ใช้กลวิธีทุกอย่างเพื่อแสวงหาเงินทอง เป็นการดิ้นรนที่เปรียบได้กับการ "เค้นเอาเลือดจากก้อนหิน สูบเอาไขกระดูกจากร่างนก" ยังไงยังงั้นเลยทีเดียว แต่ชีวิตก็ยังไม่สุขสมหวังดังปรารถนา
อาจจะมีบางคนบอกว่า "เป็นไปได้มั้ยว่าพวกเขาไม่มีความสามารถ ไม่มีความฉลาดพอ จึงไม่ประสบความสำเร็จ"
จริง ๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คนเราต่อให้ขยันแค่ไหน ฉลาดแค่ไหน เก่งแค่ไหน แต่ถ้าบุญบารมีไม่ถึง ก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จดังใจหวังได้
ต่อให้ได้ลาภได้ทรัพย์มาบ้างเป็นบางคราว ก็ไม่สามารถครอบครองไว้ได้นานนัก มีอยู่ได้สักพักก็ต้องสูญสิ้นไป
ในทางกลับกัน มีคนบางคนที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แต่ก็ได้ข้าวของต่าง ๆ มาครอบครอง เงินทองก็ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหา มีทรัพย์ก็ไม่ค่อยสูญสิ้น ไม่ว่าจะไปทางไหน โภคลาภก็ดูเหมือนจะรออยู่ที่นั่น นี่คือผลแห่งบุญบารมีในชาติปางก่อนของพวกเขา
สมัยนี้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องผลวิบากแห่งกรรม หาเงินไม่ได้ ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็โทษฟ้าบ้าง โทษคนอื่นบ้าง เช่นโทษพ่อแม่ โทษหัวหน้า โทษเจ้านาย โทษนโยบาย โทษไปถึงพระผู้เป็นเจ้าเลยก็มี
ในอินเตอร์เน็ตมีคำที่พูดกันบ่อย ๆ ว่า "เสียดายพ่อกูไม่ใช่หลี่กัง" มีบางคนคิดอย่างนั้นจริง ๆ ว่า เจ็บใจที่พ่อเราไม่ใช่ลีกาชิง (มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง) ไม่ใช่หลี่กัง (นายตำรวจใหญ่คนหนึ่งที่ลูกชายขับรถชนแล้วพูดว่าพ่อกูคือหลี่กัง) อันที่จริง ตามกฎแห่งกรรม ชาตินี้พ่อเราจะเป็นอะไรก็เกิดจากกรรมที่เราทำไว้ในชาติก่อน ดังนั้น จึงไม่ต้องโทษเหตุปัจจัยภายนอกอะไรเลยแม้แต่น้อย เราทำมาเองทั้งนั้น และควรที่จะเร่งทำกุศลสร้างบุญบารมีเสียตั้งแต่บัดนี้
ทุกวันนี้มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่สร้างวิบากกรรมอันน่ากลัวโดยไม่รู้ตัว เพียงเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าเล็กน้อยเท่านั้นเอง พฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมอย่างนี้ดูแล้วช่างน่าหวาดเสียวจริง ๆ ในพระธรรมบทกล่าวไว้ว่า "เหมือนการหว่านเมล็ดทุกข์ก็ย่อมจะได้ผลเป็นทุกข์ ทำอกุศลย่อมได้ผลเป็นอกุศล" ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาเงินทองกันเกินไป จนทำตัวเองให้กลายเป็นก้อนหินที่จมดิ่งลงไปในห้วงลึกแห่งบาปกรรมอันน่ากลัว
สำหรับยุคนี้ ความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องกรรมมีความสำคัญอย่างมาก ถ้าทุกคนต่างรู้ตัวเองว่าควรประพฤติตนตามหลักของกรรม เจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่คอรัปชั่น ไม่กินสินบน พ่อค้านักธุรกิจก็จะไม่ทำสินค้าปลอมมาหลอกขาย... ถ้าทุกคนเชื่อเรื่องกรรมอย่างแท้จริง โลกนี้ก็จะกลายเป็นสวรรค์บนดินอย่างแน่นอน
เขียนโดย 玄空
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170814/036396.htm
27 ส.ค. 2560
เพราะเรากินเขาจึงฆ่าเอามาขาย
เสียงร้องขอชีวิตจิตหวาดหวั่น
เสียงห้ำหั่นเข่นฆ่าน่าสยอง
เสียงซวบซวบคมดาบเชือดเลือดไหลนอง
เสียงกรีดร้องสะท้านจิตสะกิดใจ
เสียงสัพเพสัตตาพาให้คิด
ว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าสิ่งไหน
อเวราอย่ามีเวรอย่ามีภัย
ชีวิตใครใครก็หวงอย่าล่วงเกิน
ท่องสัพเพสัตตามาแต่ไหน
ยังเข้าใจเนื้อแท้แค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้างกินบ้างอย่างเพลิดเพลิน
ยังใช้เงินซื้อชีวิตอนิจจา
สัตว์เกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้
เป็นเป็ดไก่กุ้งปูเป็นหมูหมา
ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา
มิใช่ฟ้าประทานไว้ให้คนกิน
มีปัญญาแต่ไหนจึงไม่คิด
มองชีวิตกลับเห็นเป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้องก่อนตายใครได้ยิน
น้ำตารินเมื่อถูกเชือดเลือดกระเซ็น
พูดว่าเขาเกิดมาเป็นอาหาร
เขาลนลานหนีตายมีใครเห็น
เขาจนใจสู้ไม่ได้เถียงไม่เป็น
ช่างเลือดเย็นเข่นฆ่าไม่ปรานี
มีพืชผักมากมายนับไม่หมด
ทุกกลิ่นรสสดใสหลากหลายสี
ธรรมชาติจัดวางอย่างดิบดี
สัตว์วิ่งหนีพืชเต็มใจให้กินมัน
เพราะเรากินเขาจึงฆ่าเอามาขาย
เราสบายแต่สัตว์โลกต้องโศกศัลย์
ท่องสัพเพสัตตามาทุกวัน
เมตตากันโปรดอย่าฆ่าและอย่ากิน
ที่มา กระดานข่าวสารหน้าศาลาปลุกชีพใหม่ สวนป่านาบุญ ๒ ชะอวด นครศรีธรรมราช
ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง ไม่มีชื่อบทกลอน
26 ส.ค. 2560
กินมังสวิรัติอย่างต่อเนื่องมา ๙๐ ปี ผลเป็นอย่างนี้
ที่หน้าประตูห้องครัวของร้านอาหาร พ่อครัวกำลังฉุดลากแพะตัวหนึ่งอยู่อย่างสุดแรง แพะตัวนั้นกรีดร้องอย่างโหยหวน งอเข่าคุดคู้ขัดขืนไม่ยอมเข้าประตูห้องครัว เสียงร้องของแพะนั้นเหมือนเสียงร่ำไห้
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในร้าน เห็นภาพนั้นแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไปนาน และในวันนั้นเธอไม่กินเนื้อแพะเลย เธอกินแต่แผ่นแป้งอบเท่านั้น และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าใครจะชักชวนอย่างไร เธอก็ไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์อีกเลย
เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คือคุณเย่ม่าน (叶曼女士) เกิดเมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. ๑๙๑๔ (พ.ศ. ๒๔๕๗) ชื่อเดิมของเธอคือ หลิวซื่อหลุน (刘世纶) ปีนี้เธอก็มีอายุถึง ๑๐๓ ปีแล้ว คุณเย่ม่านเรียนจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เคยดำรงตำแหน่งรองศาตราจารย์ภาควิชาปรัชญาของมหาวิทยาลัยฝู่เหริน (辅仁大学) เริ่มเรียนอ่านหนังสือ 左传 (หนังสือประวัติศาสตร์คลาสสิคของจีน) ตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ในปี ค.ศ. ๑๙๓๕ ได้รับคัดเลือกจากคณบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ให้เข้าเป็นนักศึกษาในภาควิชาเศรษฐศาสตร์
ในช่วงวัยกลางคนเธอเคยเป็นอาจารย์สอนบุคคลสำคัญในโลกวิชาการหลายคน ปัจจุบันคุณเย่ม่านเป็นหนึ่งในจำนวนไม่มากนักของโลก ในฐานะนักวิชาการผู้รอบรู้ทางวัฒนธรรมทั้งขงจื๊อ เต๋า และพุทธ ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เธอได้บรรยายในชั้นเรียนเกี่ยวกับคัมภีร์ต่าง ๆ มากมาย มีผลงานเขียนหนังสือหลายเล่ม และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ
แค่ได้กลิ่นเนื้อก็นึกถึงเสียงร้องของแพะ
หลายวันก่อนมีเพื่อนชวนข้าพเจ้าไปเยี่ยมบ้านของคุณเย่ม่าน พอเราหย่อนก้นนั่งในห้องรับแขกเท่านั้น คุณป้าผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก็ใช้สองมือลากเก้าอี้ที่มีล้อมานั่งตรงหน้าเรา มองดูแล้วเธอเหมือนคุณป้าที่อายุ ๘๐ กว่าปีเท่านั้น ผิวขาวดูสะอาด ใบหน้าดูเป็นคนคงแก่เรียน เส้นผมผ่านการย้อมมาแล้ว และหวีไว้อย่างเรียบร้อย ในการสนทนากัน ความคิดความเห็นของเธอดูแจ่มชัดและพูดคุยได้คล่องแคล่วแววไว
เมื่อถูกถามถึงหลักการที่ทำให้มีอายุยืน คุณป้าเย่ม่านบอกแก่เราว่า "การกินอาหารของฉันไม่ธรรมดา ฉันเริ่มกินมังสวิรัติตั้งแต่ ๘ ขวบ กินมาแล้ว ๙๐ ปี" เธอเล่าว่า การกินมังสวิรัติมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มาก และจะไม่ขาดสารอาหารอย่างที่มีบางคนเข้าใจ "เรื่องบางเรื่องฉันไม่รู้จะบอกคนอื่นอย่างไร เธอต้องทดลองเรียนรู้และเข้าใจด้วยตัวเองเท่านั้น" พวกเราถามคุณป้าอีกว่า "มีความอยากกินเนื้อสัตว์บ้างหรือไม่?"
เธอตอบว่า "มีสิ พอได้กลิ่นเนื้อมันก็หอมอยู่นะ แต่ทุกครั้งที่คิดอย่างนี้ฉันก็จะนึกถึงภาพอันทารุณของแพะตัวนั้นที่กำลังจะถูกฆ่าทุกที ความคิดที่อยากกินก็จะหายไปทันที คือมันทนไม่ได้ที่จะยอมให้ความอยากกินของเรากลายเป็นเหตุของการฆ่า" สมัยเป็นเด็กก็อาศัยว่าเราเป็นเด็กจิตใจดีจึงไม่ยอมกินเนื้อสัตว์อะไรเลย คุณเย่ม่านยังบอกแก่เราว่า "ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าตาย ในใจของมันจะมีแต่ความแค้น ความพยาบาท ความรู้สึกคั่งแค้นนี้จะกลั่นรวมกันเป็นสารพิษ กระจายไปตามเนื้อตัวของมัน ถ้าเรากินเนื้อที่มีสารพิษอย่างนี้ไปนาน ๆ ก็จะเป็นโทษต่อร่างกายของเราได้ ฉันจึงคิดว่า กินเนื้อให้น้อยก็เท่ากับกินพิษเข้าไปน้อย"
อยากอยู่ร้อยปี ไม่ยากเลย
คุณป้าเย่บอกว่า "จริง ๆ แล้วพวกเราทุกคนถ้าอยากจะมีอายุถึงร้อยปีไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เราสามารถชะลอเวลาแห่งความแก่ออกไปได้" เธอมีความเห็นว่า ชีวิตของแต่ละคนก็อยู่ในมือของตนเอง เธอแนะนำว่าเวลากินข้าวควรจะกินให้อิ่มแค่ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ก็พอ โดยมื้อเช้าต้องกินให้ได้คุณค่า มื้อกลางวันต้องกินให้อิ่ม และมื้อเย็นต้องกินให้น้อย หรือไม่กินเลยก็ยิ่งดี กินข้าวต้องไม่กินอิ่มจนเกินไปหรืออดจนเกินไป และต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนจะกลืนด้วย
เธอบอกต่อไปว่า "ทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยที่กินมากเกินไป บางคนกินอิ่มเกินไปถึง ๑๒๐ เปอร์เซ็นต์ กินอิ่มขนาดนั้น อวัยวะภายในของเราจะรับได้อย่างไร คนเราไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ควรทำให้เต็มจนเกินไป การกินอาหารก็เหมือนกัน ชีวิตฉันไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะไม่ทำให้มากเกินไป ต้องผ่อนเหลือผ่อนแรงไว้บ้าง หรือแม้แต่ยอมที่จะขาดไปบ้างก็ได้ ยอมที่จะถอยสักหนึ่งก้าวให้ได้ ชีวิตก็จะสุขสงบได้เสมอ"
คุณเย่ม่านยังอธิบายต่ออีกว่า "การนอนกลางวันสั้น ๆ ก็สำคัญมาก ฉันทำมาหลายสิบปีแล้ว พวกเธออย่ามองข้ามการงีบหลับสั้น ๆ ตอนกลางวันทีเดียว แม้แต่คนโบราณก็ยังบอกว่าเราต้องพักผ่อนในเวลานี้ มีเหตุผลและข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนเยอะ ฉันขอพูดแค่ข้อเดียวก็พอ ข้ออื่น ๆ พวกเธอไปหาอ่านกันเองก็แล้วกัน ช่วงเที่ยงคืนและเที่ยงวันเป็นช่วงเริ่มต้นของการนับเวลา คนโบราณมีประสาทรับรู้เรื่องเวลาชัดเจนมาก จึงส่งเสริมให้มีการพักผ่อนในช่วงเวลานี้ เคล็ดลับอยู่ที่ตรงนีแหละ
โกรธหนึ่งครั้ง อายุสั้นลงหนึ่งปี
"หน้าตาดูสดใสดีนะ"
"ชุดที่เธอใส่นี้สวยดีจริง ๆ " ...
ข้าพเจ้าจำได้ว่าตอนอยู่ในบ้านคุณเย่ม่านนั้น ในระหว่างที่คุณป้าท่านนี้พูดคุยกับพวกเรา มักจะพูดชมเพื่อนของเราที่มาด้วยกันอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็พูดเล่นมุขตลกด้วย ท่านเป็นคนจิตใจดี อุตส่าห์ปอกแตงแคนตาลูปให้พวกเรากินด้วย ท่านมองดูเพื่อนตัวใหญ่ของเรากินไปก็พูดกระเซ้าเล่นว่า "ดูซิว่าใครจะกินได้เกลี้ยงที่สุด"
เมื่อเห็นพวกเราต่างก็ร่าเริงกันดี จู่ ๆ คุณป้าก็พูดด้วยเสียงเข้ม ๆ ขึ้นมาว่า "แต่ห้ามโกรธเด็ดขาดเลยนะ โดยเฉพาะเวลากินข้าว อย่าโกรธใครเชียว พวกเธอต้องจำเอาไว้ โกรธหนึ่งครั้ง อายุจะสั้นลงหนึ่งปี ความโกรธก่อโรคสารพัดนะ" พอพูดถึงเรื่องความโกรธ คุณป้าดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาพอสมควรทีเดียว
"คนที่ทำให้เธอโกรธก็คือคนที่อยากให้เธอตายเร็ว ๆ ฉันคิดว่าคนที่มาโกรธฉันก็คือคนที่จะมาแก้แค้นฉัน แต่ถึงเขาจะมาโกรธเกลียดฉันยังไง ฉันก็จะไม่โกรธตอบ ถ้าฉันโกรธเขาก็คงได้สมใจ แล้วชีวิตฉันทำไมจึงต้องยอมให้คนที่มาทำให้ฉันโกรธได้สมใจด้วยล่ะ อีกอย่าง ถ้าฉันโกรธมากจนป่วยไปล่ะ คนที่มาโกรธฉันจะช่วยอะไรฉันได้มั้ย ชีวิตฉันจึงมีแต่ความสบายใจทุกวัน อายุก็จะยืนยาว ฉันจะอยู่ไปนาน ๆ ก็เพื่อพยายามทำเรื่องที่ตัวเองและคนอื่นสบายใจให้ได้มากที่สุดเท่านั้น"
ในระหว่างการสนทนา พวกเราเห็นแผ่นกระดาษที่ติดอยู่บนกาน้ำชาเขียนไว้ว่า "อาหารในหนึ่งสัปดาห์ วันจันทร์ ฟักเขียว บวบผัดขิง วันอังคาร มันฝรั่ง ผักกาดขาว ผัดเห็ดหอม วันพุธ มันนึ่ง ผัดถั่วแขก ..." เราถามคุณป้าเย่ว่า "นี่คือเมนูอาหารในหนึ่งสัปดาห์ของคุณป้าหรือ?" คุณป้าตอบว่า "รายการอาหารนั่นน่าจะเป็นเพื่อนของฉันทำมาให้น่ะ มันวุ่นวายมาก ฉันกินง่ายจะตาย" เสี่ยวหวางซึ่งเป็นคนดูแลคุณป้าบอกแก่เราว่า คุณป้าเย่ม่านเป็นคนอารมณ์ดี เข้านอนตื่นนอนเป็นเวลา กินข้าวเป็นเวลา กินอะไรก็ง่าย ๆ นอกจากนี้ คุณป้ายังชอบดูงิ้วในทีวีด้วย บางครั้งที่นอนไม่หลับก็จะลุกขึ้นมาอ่านหนังสือ
หมายเหตุ คุณเย่ม่านมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว กินมังสวิรัติมานาน ๙๐ ปี ปัจจุบันในเวลาที่มีกำลังวังชาดี เธอสามารถเป็นวิทยากรขึ้นบรรยายได้ครั้งละ ๒ - ๓ ชั่วโมงติดต่อกัน
เขียนโดย 净念居士
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20160523/030877.htm
15 ส.ค. 2560
วิบากบาปจากความร่ำรวย
คนบนโลกล้วนมีความโลภในโภคทรัพย์ ต่างแสวงหาวิธีการต่าง ๆ นานาที่จะร่ำรวยเงินทอง แต่ทว่า เขาไม่เคยเข้าใจความร่ำรวยอย่างแท้จริง จึงต้องได้รับทุกข์กันอย่างมาก คำโบราณกล่าวว่า "สูญเสียทรัพย์เพื่อฟาดเคราะห์" ถ้าเกิดเหตุร้ายต่าง ๆ ขึ้นแสดงว่ามีวิบากกรรม ทรัพย์สินเงินทองที่เรามีสามารถขจัดวิบากกรรมได้หรือ? อย่างเช่นบางคนเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรง ต้องเสียเงินมากมายในการรักษา บ้างต้องหาหยิบยืมจากผู้อื่นด้วย หมดเงินไปในการรักษามากมาย ถ้ารักษาได้จนโรคนั้นหาย ก็แสดงว่าวิบากกรรมบางส่วนของเราสามารถดันออกไปได้ด้วยเงินทอง
เราทำงานหาเงินด้วยความเหนื่อยยาก แต่พอมีวิบากร้ายมาถึงเท่านั้น เงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากก็ต้องสูญสิ้น เหนื่อยเปล่า เมื่อวิบากกรรมเล่นงานก็ถึงคราวที่ต้องสูญเสียทรัพย์ หรือเราจะยอมเจ็บป่วยอยู่โดยไม่รักษาล่ะ นี่แสดงว่าเราไม่มีกุศลกรรมคอยช่วยเหลือเลย
การให้ทานในศาสนาพุทธนั้น ทรัพย์ที่ให้จะต้องบริสุทธิ์ คือที่มาของทรัพย์ต้องสะอาด ไม่ได้มาจากกรรมอกุศล เช่น ได้มาด้วยการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ หรือการผิดประเวณี สมมติว่าเราเปิดร้านอาหาร ต้องฆ่าชีวิตสัตว์จำนวนมาก ขายได้เงินมากมาย เงินที่ได้นี้จะมีวิบากบาปติดมาด้วย เป็นวิบากกรรมของการฆ่าชีวิตสัตว์ เมื่อวิบากบาปสั่งสมจนหนักมาก ๆ เงินทองที่ได้มานั้นก็จะเก็บรักษาไว้ไม่อยู่ ต้องมีอันรั่วไหลออกไป เงินที่ได้มาจากการฆ่าสุดท้ายก็ต้องถูกเอาคืนไปด้วยการฆ่า เช่นการเจ็บป่วยจนต้องถูกผ่าตัดด้วยมีดและจ่ายเงินค่ารักษาจนหมดตัว หรือเงินที่ได้มาด้วยการลักขโมยก็จะต้องเสียไปเพราะถูกลักขโมยเหมือนกัน เงินได้มาอย่างไรก็ต้องเสียไปอย่างนั้น
ตราบใดที่มนุษย์ยังมีการฆ่าชีวิตสัตว์กันอยู่ กิจการของโรงพยาบาลมีแต่จะเฟื่องฟูมากขึ้น ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บจะไม่มีวันแก้ไขให้หมดไปได้
ถ้าเราไปทำทานที่วัด พระรัตนตรัยจะช่วยให้เราหลีกห่างจากเภทภัยต่าง ๆ ได้ เราได้มอบวิบากบาปของเราให้พระรัตนตรัยช่วยคลี่คลาย อย่างไรน่ะหรือ ด้วยการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะปฏิบัติจิตให้มีเมตตา วิบากบาปจะเบาบางลงได้ ขอให้ไปวัดสวดมนต์ทำวัตรเป็นประจำทุกวัน ทำการงานต่าง ๆ ในวัด ช่วยงานอุบาสกอุบาสิกาในวัด จะมีส่วนช่วยบรรเทาวิบากบาปของเราได้
การปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแส คนทั่วไปล้วนเกลียดกลัวการเสียเปรียบ แต่การเสียเปรียบคือการสลายวิบากกรรม อย่างเช่นคนที่ต้องสูญเสียทรัพย์ วิบากร้ายก็จะสูญไปด้วย แล้วมันสูญหายไปไหนล่ะ พลังงานไม่มีวันสูญหายไปจากโลก มันจะหายไปเฉย ๆ ไม่ได้ มีบางส่วนถูกย้ายไปอยู่กับคนโลภที่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น แค่มีความโลภวิบากบาปก็เข้ามาสู่ตัวเราแล้ว เหมือนกับพวกเจ้าหน้าที่รัฐที่ขี้โลภกันอยู่ทั้งหลาย หรือนักธุรกิจที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ หรือคนที่ถูกล็อตเตอรี่ อย่านึกว่าเป็นเรื่องดี ความจริงมันคือการโลภและเอาวิบากบาปของผู้อื่นมาสู่ตน การทำงานหาเงินก็เหมือนกัน ถ้าเป็นงานสัมมาอาชีพก็ทำไปเถอะ แต่งานที่เป็นมิจฉาชีพ งานไม่สุจริต อย่าไปทำเด็ดขาด อย่าเอาเงินนั้นมาเด็ดขาด เพราะมันมีวิบากบาปติดมาด้วย
นี้คือทฤษฎีของการแปรผันต่อกันของวิบากบาปกับเงินทองทรัพย์สิน สาวกของพระพุทธเจ้าควรจะมองเห็นว่า คนเรามีหน้าที่เพียงแค่ช่วยเก็บรักษาทรัพย์สินต่าง ๆ ให้แก่โลกชั่วคราวเท่านั้น ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะแพงค่าแค่ไหนก็ตาม ไม่สมควรใช้อย่างสิ้นเปลือง ความมั่งคั่งนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมา ถ้าเรามีกุศลบารมีมากก็สร้างได้มากหน่อย ครอบครองไว้มากหน่อย แต่ถ้าเราใช้อย่างเปลืองเปล่าก็เท่ากับละลายกุศลของตนเองทิ้งไปเปล่า ๆ คนที่มีเงินทองมาก ๆ ยิ่งต้องใช้เงินอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นจะกลายเป็นวิบากบาปได้โดยง่าย
เขียนโดย 安清居士
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170625/011172.htm
12 ส.ค. 2560
ไม่กินข้าวเย็น ความหิวเป็นยาสารพัดโรค
ภาพประกอบจาก http://www.xaiu.edu.cn/info/397/190123.htm |
ศาสตราจารย์ว่านเฉิงขุย (万承奎) แห่งมหาวิทยาลัยกองทัพภาคที่สี่ของจีน เกิดปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เป็นชาวมณฑลเจียงซี เป็นผู้เชี่ยวชาญการศึกษาด้านสุขภาพและสาธารณสุข ปัจจุบันมีอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว แต่ยังรับเชิญเป็นวิทยากรไปบรรยายตามองค์กรต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน เรื่องแนวคิดใหม่ด้านสุขภาพแห่งศตวรรษที่ ๒๑ และการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง
ตอนที่ท่านมีอายุ ๗๐ ปี เวลามีคนมาถามถึงอายุ ท่านจะตอบว่า ๓๕ ปี ท่านไม่เพียงแต่ดูอ่อนวัยเหมือนคนอายุ ๓๕ ปีเท่านั้น ผลการตรวจวัดค่าความดันโลหิต ไขมันในเส้นเลือด ตลอดจนการทำงานของหัวใจและอวัยวะภายในต่าง ๆ ก็มีค่าเทียบเท่ากับคนอายุ ๓๐ กว่าปีด้วย
ปัจจัยของความแข็งแรงและอายุยืนนั้น ๖๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ในวัย ๗๐ ปี ศาสตราจารย์ว่านทำอย่างไรจึงดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาเหมือนคนอายุ ๓๕ ปี
ท่านได้สรุปไว้เป็นวลีสั้น ๆ ว่า "อย่ากินข้าวด้วยปาก แต่กินด้วยสมอง สารอาหารมากเกินไปจะกลายเป็นพิษ และไม่กินข้าวเย็น"
ไม่กินข้าวเย็น ความหิวเป็นยา
ศาสตราจารย์ว่านมีแนวคิดในการดูแลสุขภาพหลายอย่างที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง การงดอาหารมื้อเย็นก็เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งของการ "หยุดวัยไว้ที่ ๓๕ ปีตลอดกาล" ของท่าน หนังสือพิมพ์ "จิงเป้า" ของเมืองเซินเจิ้นเคยลงพาดหัวบทความว่า "ไม่กินข้าวเย็น ความหิวเป็นยาสารพัดโรค" เป็นรายงานแนวคิดในการดูแลสุขภาพของศาสตราจารย์ว่านเฉิงขุย
ศาสตราจารย์ว่านกล่าวว่า การกินอาหารมื้อเย็น เป็นสาเหตุหนึ่งของการเจ็บป่วยของมนุษย์ และเป็นสาเหตุของการรักษาโรคต่าง ๆ ไม่หายด้วย
คนจำนวนมากคิดว่า เวลาเย็นหรือค่ำเมื่อหิวแล้วก็ต้องกิน จริง ๆ แล้วมันไม่ถูกต้องเลย ช่วงเย็นถึงค่ำแม้หิวก็ไม่ต้องกินอาหารต่างหากจึงจะเป็นการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง การแพทย์แผนจีนและศาสนาพุทธต่างก็พูดตรงกันว่า "งดอาหารหลังเวลาเที่ยงวัน" คำว่า "เที่ยงวัน" ก็คือช่วงเวลา ๑๑ - ๑๓ นาฬิกา หมายความว่าเมื่อเลยเวลาบ่ายโมงไปแล้วก็จะไม่กินอาหารอีก
แล้วถ้าเกิดหิวขึ้นมาล่ะ? ก็สามารถดื่มน้ำผลไม้ กินผลไม้ เหตุที่การแพทย์แผนจีนและศาสนาพุทธสนับสนุนการไม่กินอาหารมื้อเย็นนั้น ไม่ใช่เพื่อจะประหยัดอาหาร แต่เพื่อรักษาสุขภาพ
คนเราถ้าไม่ได้กินอาหารเย็นก็จะรู้สึกหิวเป็นธรรมดา แต่ผลของมันจะเหมือนกับการกินซุปเรียกน้ำย่อย ดังนั้น คุณจึงไม่ได้ขาดทุนอะไร เพราะมันเท่ากับว่าคุณได้กินซุปเรียกน้ำย่อยแบบฟรี ๆ นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้คุณเป็นรางวัล แล้วคุณจะไม่รู้สึกดีใจบ้างหรือ?
ผลที่ตามมาอีกอย่างคือ คุณจะหิวอยู่ชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น แต่ไขมันในตัวคุณจะค่อย ๆ ถูกสลายไป คุณจะค่อย ๆ ผอมลง นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมการไม่กินข้าวเย็นและความหิวเป็นยารักษาโรคได้
กินด้วยสมอง
"กินด้วยท้องคือกินให้อิ่ม กินด้วยปากคือการเสพรสอร่อย กินด้วยสมองคือการรักษาสุขภาพ"
กินข้าวอย่ากินด้วยปาก ให้กินด้วยสมอง ทำอย่างไรน่ะหรือ ต้องจำไว้ว่า "กินได้ใช่ว่าจะแข็งแรง กินเป็นจึงจะแข็งแรง กินมั่วจะป่วยเป็นโรค"
คนส่วนใหญ่มักไม่ได้แก่ตาย ไม่ได้ป่วยตาย แต่อารมณ์เป็นพิษตาย
ปุถุชนมีหรือที่จะไม่รู้จักโกรธ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอารมณ์ความรู้สึก ทั้งชอบ ชัง วิตกกังวล ครุ่นคิด โศกเศร้า เสียใจ กลัว ตกใจ ฯลฯ ชอบใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้ โกรธขึ้นมาก็ด่าว่า เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ทั่วไป
อารมณ์ของมนุษย์นั้นมีมากมาย อยากแสดงอะไรก็แสดง แต่ต้องจำไว้ว่า ข้อแรก อย่าแสดงอารมณ์รุนแรงเกินไป ข้อสอง ถ้าแสดงออกรุนแรงไปแล้วก็อย่าเก็บอารมณ์นั้นไว้นาน ต้องรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์ จึงจะมีสุขภาพดีได้
ในตำราการแพทย์จีนโบราณก็มีกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า "ความโกรธทำลายตับ ความลุ่มหลงทำลายหัวใจ ความกังวลทำลายปอด ความเครียดทำลายม้าม ความกลัวทำลายไต โรคต่าง ๆ ล้วนเกิดมาจากอารมณ์เป็นเหตุ"
คนเรายากที่จะไม่โกรธใครเลยได้ แต่จะต้องแสดงความโกรธให้เป็น อย่าตกเป็นเชลยของอารมณ์ จะต้องเป็นนายของอารมณ์ ต้องสามารถควบคุมอารมณ์ให้ได้ อย่ายอมให้อารมณ์ควบคุมเรา
อาหารที่ดีที่สุดในโลกคือมันเทศ
ขอให้ท่านจำเอาไว้ว่า การกินอาหารที่มาจากพืชให้ได้ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ อาหารที่มาจากสัตว์เพียง ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว
ทุกวันนี้คนเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ กันมากขึ้น เราจึงต้องกินผัก กินผลไม้ให้มาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ สมัยนี้ หลายคนไม่กินผัก ไม่กินผลไม้ ขอให้จำไว้ว่าในแต่ละวันต้องกินผลไม้ให้ได้ ๔ อย่าง กินผักให้ได้ ๓-๕ อย่าง จะช่วยป้องกันมะเร็ง รักษาหัวใจ นี่คือยุทธศาสตร์ด้านโภชนาการของศตวรรษที่ ๒๑
มันเทศเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก ประเทศญี่ปุ่นเคยเป็นประเทศที่คนเป็นมะเร็งมากที่สุดในโลก เพื่อที่จะลดการป่วยเป็นมะเร็ง คนญี่ปุ่นจึงแสวงหาวิธีการต่าง ๆ นานามากมาย ผิดพลาดล้มเหลวมามาก จนในที่สุดก็ค้นพบวิธีที่ได้ผล พวกเขาทำการคัดเลือกพืชผักต่าง ๆ ออกมาเป็น ๒๐ ชนิดที่สามารถต้านมะเร็งได้ และอันดับหนึ่งก็คือมันเทศ *
สารอาหารมากไปก็เป็นพิษ
การกินอาหารในแต่ละวันควรจำไว้ว่า
- กินผักทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๔๐๐-๕๐๐ กรัม
- กินผลไม้วันละ ๒ ชนิด
- กินน้ำมันวันละ ๓ ช้อน หรือไม่เกิน ๒๕ กรัม
- กินข้าววันละ ๒๐๐ กรัมหรือหมั่นโถววันละ ๔ ลูก
- และกินโปรตีนจากพืชให้เพียงพอต่อร่างกาย
- ดื่มน้ำวันละ ๘ แก้ว เพราะน้ำคือชีวิต คนสมัยนี้กินน้ำไม่ค่อยเป็น คือจะดื่มน้ำเมื่อกระหายเท่านั้น จริง ๆ แล้วเราต้องดื่มน้ำบ่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง
เปลี่ยนจากน้ำเป็นน้ำชาแทนได้มั้ย? ไม่ได้ ทั้งชา กาแฟ เบียร์ ไม่สามารถแทนที่น้ำได้ ถ้าจะดื่มชาให้ดื่มชาอ่อน ๆ อย่าดื่มชาเข้ม จำเอาไว้ว่าน้ำคือชีวิตของคน
เมาหนึ่งครั้งก็เท่ากับเป็นตับอักเสบหนึ่งหน
หนึ่งในพฤติกรรมที่ทำลายสุขภาพอย่างมากก็คือ การดื่มสุรา การดื่มเหล้าจนเมามายหนึ่งครั้ง เท่ากับทำให้ตับอักเสบหนึ่งหน จำไว้ว่า กินเหล้าไม่ได้ทำร้ายเฉพาะตับเท่านั้น คนกินเหล้ามาก ๆ ทำให้ความจำแย่ลง การรับรู้ต่าง ๆ ของประสาทจะเสื่อมลงด้วย เพราะเซลล์ในสมองจำนวนมากจะตายเพราะการกินเหล้า
ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20170721A00JMF00
หมายเหตุ การชี้ขาดว่าอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผลดีที่สุดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ผู้อ่านควรพิจารณาและตรวจสอบเองด้วยความรอบคอบก่อนจะปักใจเชื่อ ทั้งนี้เพราะผลการทดสอบหรือวิจัยในขอบเขตหนึ่งไม่จำเป็นต้องได้ผลอย่างเดียวกันในขอบเขตหรือพื้นที่อื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากที่ทำให้เราพึงสังวรในการนำผลลัพธ์จากการวิจัยในที่หนึ่งมาใช้กับอีกที่หนึ่งด้วย เช่น ยุคสมัย ลักษณะทางพันธุกรรมของกลุ่มชนที่เป็นผู้รับการทดสอบ สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมในเขตที่ทำการวิจัย ดังนั้น เราจึงควรเรียนรู้ข้อมูลแล้วตรวจสอบหรือทดสอบด้วยตัวเองภายใต้เงื่อนไขจริงของเราเองดีที่สุด
10 ส.ค. 2560
เหตุใดผมจึงเป็นมังสวิรัติ WUN Kam Hoi
มิสเตอร์เวิน (WUN Kam Hoi) อดีตหัวหน้าภาคพื้นแปซิฟิคของบริษัทเอทีแอนด์ทีได้มาเยี่ยมบริษัทของเราในวันนี้ ปัจจุบันเขาเป็นประธานบริษัทสิ่งพิมพ์แห่งหนึ่งในฮ่องกงที่มีทรัพย์สินหลายร้อยล้าน เป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าฉายแววเมตตา
อาหารมื้อกลางวันนี้ผมเป็นเจ้าภาพ เขาเป็นแขก เศรษฐีพันล้านจะกินอะไรนะ? ผมรู้สึกมืดไปเจ็ดแปดด้าน ที่เมืองจูไห่ของเรานี่แม้จะมีอาหารทะเลและของป่ามากมาย แต่ถ้าโจทย์คือจะเสิร์ฟอาหารอะไรให้คนอย่างประธานเวินพอใจ ควรจะเสิร์ฟอะไรดีนะ?
ใครจะคิด ประธานเวินจะกระซิบบอกเราเบา ๆ ว่า "ถ้าคุณสะดวกนะ ผมขอกินมังสวิรัติ" ดังนั้น พวกเราจึงไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ภัตตาคารอาหารฝรั่งที่อยู่ข้างโรงแรม
มีผู้ร่วมโต๊ะอาหารทั้งหมด ๔ คน เราสั่งอาหารชุด ๔ ชุด ของพวกเรา ๓ ชุดมีทั้งผักและเนื้อสัตว์ ส่วนของประธานเวินเป็นมังสวิรัติล้วน ๆ
ในระหว่างรับประทานอาหาร ผมขอให้ประธานเวินแนะนำข้อดีของการกินมังสวิรัติให้ฟัง ท่านจึงได้อธิบายเหตุและผลของการกินมังสวิรัติให้ฟังพอประมาณ ผมฟังแล้วก็ต้องยอมรับนับถือจริง ๆ
หลักการง่าย ๆ
เมื่อคุณได้เข้าใจจริง ๆ ว่าเนื้อสัตว์นั้นไม่สะอาดและเป็นซากศพที่สามารถแพร่เชื้อโรคได้ คุณจะยังกลืนกินมันลงไปได้อย่างหน้าตาเฉยอีกหรือไม่?
พอพูดถึงการกินมังสวิรัติ ผมก็จะถูกหลาย ๆ คนถามถึง "การปฏิบัติธรรม" และทำให้เรื่องมันเฉไฉออกไปไกล จนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมก็มักจะคิดถึงบทสนทนาอันหนึ่งตอนไปประชุมที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการคุยกันอย่างง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน มันง่ายกว่าการพูดถึงการปฏิบัติธรรมมาก วันนั้นพวกเขาเพิ่งรู้ว่าผมเป็นมังสวิรัติ
"คุณจะไม่กินอะไรเลยหรือ?" (ทุกคนต่างเชิญชวนกันกินอาหาร และมีคนหนึ่งที่เอ่ยปากถามออกมาอย่างเกรงอกเกรงใจ)
"เมื่อกี้นี้ผมกินแอปเปิ้ลไปแล้วลูกนึง" (ผมตอบอย่างสุภาพ)
"เขาเป็นมังสวิรัติ" เพื่อนร่วมงานของผมโยนระเบิดเข้ากลางวง การสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศอย่างมีมารยาทดูไม่น่าสนใจไปเลยพอมีเรื่องนี้เข้ามา ทุกคนหันมามองผมเหมือนเห็นม้าลายตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมากลางโต๊ะ
"คุณนับถือศาสนาอะไรหรือเปล่า?" (ทำไมต้องถามคำถามแบบนี้กันทุกทีเลยนะ)
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ก็แค่วิถีชีวิตมันต่างออกไปนิดหน่อยเท่านั้น หลักการของผมนั้นง่ายนิดเดียว คือพยายามไม่ทำร้ายคนอื่น"
"แต่สัตว์ไม่ใช่คนนะ"
"เราโตมาด้วยการกินนมวัว พวกมันต้องถูกใช้แรงงานอย่างหนักในการเพาะปลูกพืชผักให้พวกเรากิน เมื่อมันร่ำร้องวอนขอเราว่าอย่าได้ฆ่ามันหรือลูกของมันเลย เราจะยังลงมือสังหารมันได้หรือ? เราจะทำได้ลงคอเชียวหรือ? ---
"ตอนเป็นเด็กเราคงเคยเล่นเกมนกอินทรีย์จับลูกเจี๊ยบกิน เราน่าจะเข้าใจได้ว่าแม่ไก่มันไม่อยากให้ลูก ๆ ของมันถูกทำร้าย พวกสัตว์มันสู้เราไม่ได้หรอก แต่เราคงไม่คิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเราไปรังแกคนอื่นหรอกนะ"
"ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่ชอบที่พวกเรากินเนื้อกัน"
"ผมจะไม่เอามีดไปจ่อคอหอยคุณอย่างนั้นหรอก เรื่องนี้ก็เป็นหลักการง่าย ๆ อย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าคุณชอบกินแอปเปิ้ลแต่ผมบังคับให้คุณกินสาลี่ มันก็เป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง ---
"คุณมีความสุขในแบบของคุณ ผมมีความสุขในแบบของผม โลกก็มีสันติสุข เพียงแต่คุณต้องเข้าใจว่าตัวคุณเองกำลังทำอะไรอยู่ ผลของมันคืออะไร และยอมรับผลนั้นได้ คุณก็มีสิทธิ์เลือกชีวิตแบบที่คุณต้องการ ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกับผม"
"แต่ว่าคุณไม่ทำร้ายคนอื่น คนอื่นก็ยังทำร้ายคุณอยู่ดี"
"คุณคงจะไม่ไปขโมยจักรยานคนอื่นเพียงเพราะว่ามีคนอื่นมาขโมยจักรยานของคุณไปหรอกนะ"
"ที่เขาเลี้ยงไก่กันมากมายไม่ใช่เลี้ยงไว้ให้คนกินหรอกหรือ?"
"ในช่วงสงครามระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ (ของอเมริกา) มีคนบอกว่าคนผิวดำเป็นทาสโดยกำเนิด ลูกของเขา และลูกของลูกของเขาก็เป็นทาสโดยกำเนิด"
"ผมนับถือคุณจริง ๆ มีอาหารอร่อย ๆ อยู่ตรงหน้ามากมายคุณยังอดใจไว้ได้"
"ผมไม่ได้ทรมานตัวเองเลย อาหารพวกนั้นไม่ดูน่ากินสำหรับผม ผมไม่จำเป็นต้องอดใจอะไรเลย เมื่อกี้ผมกินแอปเปิ้ลมาแล้วหนึ่งลูก มันทั้งหวานทั้งฉ่ำ นอกจากนี้ ทุกคนก็ยังแสดงความเป็นห่วงว่าผมจะกินอิ่มหรือไม่ ได้สารอาหารพอหรือไม่ แค่นี้ความดีเล็กน้อยที่ผมทำก็ได้รับผลตอบแทนแล้วมากมาย โลกนี้ยุติธรรมจริง ๆ "
"คุณน่าจะนับถือศาสนาอะไรสักอย่าง"
"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย เป็นแค่หลักการง่าย ๆ บางอย่างเท่านั้น ผมไม่สามารถสอนลูกของผมว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนของมนุษย์ได้ทั้ง ๆ ที่ปากยังกัดกินน่องไก่อยู่ การทำอย่างนั้นนอกจากจะไม่สามารถสอนความมีเมตตากรุณาได้แล้ว ยังเป็นการสอนให้เขาโกหกอีกต่างหาก เพราะปากกับใจเราไม่ตรงกัน มีหลายเรื่องที่เราเรียนกันมาแล้วตั้งแต่ชั้นอนุบาล เช่น ทุกคนบนโลกเป็นเพื่อนกัน พูดโกหกเป็นเด็กไม่ดี เรื่องของตัวเองต้องทำด้วยตัวเอง ต้องมีมารยาท รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งใจเล่าเรียน มีความขยันหมั่นเพียร รักความสะอาด ฯลฯ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องหลักการง่าย ๆ พื้น ๆ แต่ต้องเอาไปทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่าพอโตขึ้นแล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ อยู่"
เรื่องมันผ่านมานานแล้ว มีอีกหลายเรื่องที่ผมก็จำไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่ออกนอกหัวข้อของการนำหลักการง่าย ๆ เหล่านี้มาใช้ในชีวิตและการทำงาน หลักการง่าย ๆ ที่ถูกนำมารื้อฟื้นนี้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาต่อเนื่องมาถึงช่วงบ่าย และอาจจะขยายต่อไปสู่ชีวิตของพวกเขาบางคนด้วยก็ได้ มีคนจำนวนมากที่ทำไม่ได้แม้แต่เรื่องที่เด็ก ๆ ทำได้ ไม่เข้าใจเรื่องที่แม้แต่เด็ก ๆ ก็เข้าใจ แต่กลับพูดถึงแต่ปรัชญาหรือธรรมะยาก ๆ เรื่องซับซ้อนแบบนั้นปล่อยให้ "นักปฏิบัติธรรมรุ่นใหญ่" เขาพูดกันไปเถอะ ขอให้เรามีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ทำงานให้มาก พูดให้น้อย นี่ก็เป็นหลักการง่าย ๆ อย่างหนึ่งเหมือนกัน
ผมมาเป็นนักมังสวิรัติได้อย่างไร
ในช่วงที่ผมค่อย ๆ เริ่มลดการกินเนื้อสัตว์และกินมังสวิรัตินั้น ผมไม่เคยทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการ "ยอมอด" เลย ผมไม่เคยบังคับตัวเองให้เลิกกินอาหารชนิดใดเลย ถึงแม้ผมจะเชื่อว่าคนเราต้องใส่ใจดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เป็นความเชื่อส่วนตัว แต่การเลิกกินเนื้อสัตว์ของผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเชื่อถือนี้เลยแม้แต่น้อย
ผมไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิดและไม่กินยาเม็ดวิตามิน ก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีมาได้ครึ่งค่อนชีวิต ผมไปเที่ยวอเมริกาหลายครั้ง ได้กินอาหารในร้านอาหารหรือบ้านคนอื่นบ่อย ๆ แม้บนโต๊ะอาหารจะมีเนื้อสัตว์อยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีผลต่อการกินและอารมณ์ความรู้สึกของผมเลย ในระหว่างการเลิกกินเนื้อสัตว์มาเป็นมังสวิรัติ ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำความลำบากทรมานให้ผมเลย ไม่เคยมีความรู้สึกถูกบีบบังคับเลย
ในระหว่างการเดินทางครั้งหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งขณะกำลังกินตับย่างอยู่ กินไปได้สองสามคำก็รู้สึกว่ารสชาติมันแปลก ๆ จึงใช้มีดผ่าดู ทำให้ผมตกใจอย่างมาก มันมีตุ่มหนองในเนื้อตับที่เป็นรังของหนอนอยู่ในนั้น แม้ว่าจะสุกแล้วก็ตาม นับแต่นั้นมา แค่เห็นตับผมก็รู้สึกหมดความอยากอาหารทันที
เดิมทีผมชอบกินสเต็กเนื้อบดมาก คือเนื้อที่บดด้วยเครื่องบดจนละเอียด ตอนนั้นผมได้ยินมาว่าพ่อค้าเนื้อมักจะใส่ของบดคุณภาพต่ำอย่างอื่นปนเข้าไปกับเนื้อด้วย ผมจึงต้องเลือกชิ้นเนื้อสวย ๆ ด้วยตัวเองทุกครั้ง แล้วสั่งให้คนขายบดให้ดูต่อหน้า รู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากแล้วที่ทำอย่างนั้น
มีอยู่วันหนึ่ง ผมจึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วผมไม่ฉลาดเอาซะเลย ผมกำลังรอคิวต่อท้ายชายคนหนึ่งในแถว รอคนขายบดเนื้อหมูให้เขาอยู่ ด้วยเครื่องบดเนื้อเครื่องเดียวกัน ไม่มีการฆ่าเชื้อ ไม่ทำความสะอาด ข้างในเครื่องบดนั้นเป็นอย่างไรผมก็พอจะนึกออกได้ไม่ยาก ตอนนั้นเองผมถึงเข้าใจว่าคนข้างหน้าได้เหลือเนื้อหมูของเขาให้ผมครึ่งปอนด์ และเนื้อครึ่งปอนด์ของผมที่ผสมกับเนื้อของคนก่อนหน้าก็จะเหลือไว้ให้กับลูกค้าคนต่อไปอีก นับแต่นั้นมา สเต็กเนื้อบดก็ไม่เคยเป็นของน่ากินสำหรับผมอีกเลย
แม้ว่าผมจะไม่กินสเต็กเนื้อบดแล้ว แต่ผมก็ยังชอบกินเนื้อวัวอยู่ จนมีเหตุการณ์หนึ่งที่สั่นสะเทือนผมอย่างมาก ทำให้ผมตัดขาดจากเนื้อวัวอย่างเด็ดขาด
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนบ้านของผมได้เลือกซื้อแม่วัวที่สุดยอดจากคอกวัวไว้ตัวหนึ่ง เอาไว้เป็นวัวให้นมสำหรับเขากินดื่มเอง วันหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาทำการตรวจสอบแล้วบอกว่าวันตัวนั้นเป็นวัณโรค สั่งให้เอาไปฆ่าทิ้งเสีย เพื่อนบ้านผมไม่เชื่อ ทำเป็นไม่สนใจคำสั่ง ต่อมา เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งมาตรวจสอบอีก ผลออกมาก็เหมือนเดิม
เพื่อนบ้านผมก็ยังคงไม่ยอมเชื่อ เขาแอบส่งวัวตัวนั้นไปที่โรงฆ่าสัตว์ที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง ได้รับอนุญาตให้ฆ่าได้ และเห็นการเชือดด้วยตาตัวเอง จึงได้เห็นปอดข้างหนึ่งที่เป็นโรคและเน่าเสียอยู่ในนั้น
พอกลับมาถึงบ้าน เขารู้สึกเศร้าใจมาก เขาได้เงินจากวัวตัวนั้นไม่น้อยเลย มากกว่าค่าปุ๋ยในปริมาณที่เท่ากันเสียอีก แต่ทว่า เขายังคิดอยู่เสมอว่า ส่วนอื่น ๆ ของวัวตัวนั้นจะมีเชื้อโรคอยู่บ้างหรือเปล่า? มันยังกินได้อยู่หรือเปล่า?
ไม่นานหลังจากนั้น ครูประจำชั้นของผมได้พาไปเที่ยวทัศนศึกษาและได้แวะที่โรงฆ่าสัตว์แห่งนี้ด้วย เราได้เห็นร่างของสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกแขวนและลำเลียงไปตามสายพาน ผมจึงได้ถามเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเนื้อคนหนึ่งตรงนั้นว่า "ขอถามหน่อยนะครับ ถ้ามีวัวตัวนึงเป็นวัณโรค แล้วปอดข้างนึงของมันเน่าเสียแล้ว พวกคุณจะทำยังไงกับมันครับ?"
"ฉันก็อยากถามเธอเหมือนกัน ถ้าแอปเปิ้ลของเธอเป็นรูโบ๋อยู่ เธอจะทำอย่างไร? เธอก็คงจะตัดรูโบ๋ตรงนั้นทิ้ง แล้วก็กินที่เหลือต่อไปใช่มั้ยล่ะ? พวกเราก็ทำอย่างเดียวกันนั่นแหละ" ...ผมสังเกตเห็นพวกนักเรียนด้วยกันทำหน้าตกใจอึ้งกันไปหลายคน ผมเคยเล่าเรื่องวัวป่วยตัวนั้นให้เพื่อนฟังมาก่อนแล้ว พอออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ผมก็ถามพวกเพื่อน ๆ ว่า ตัดเนื้อแอปเปิ้ลทิ้งกับตัดเนื้อวัวทิ้งมันเหมือนกันมั้ย
"ไม่เหมือนสิ บ้าหรือเปล่า!" ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาบอกว่า "เลือดจากปอดที่เสียแล้วจะไหลไปทั่วร่างกาย" ผมจึงได้ชี้ให้พวกเขาเห็นความแตกต่างอีกข้อนึงด้วย คือเชื้อโรคในตัวสัตว์สามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายคนได้ด้วย แต่เชื้อโรคในแอปเปิ้ลจะมีชีวิตอยู่ได้เฉพาะในผลไม้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังไม่มีการไหลเวียนเหมือนเลือดด้วย ต่อให้กินแอปเปิ้ลที่มีรูโบ๋เข้าไปเลยก็ไม่ทำให้เราเจ็บป่วยหรอก
พอเห็นอย่างนี้แล้ว อาหารเนื้อสัตว์ที่ผมเคยรังเกียจ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกรังเกียจมากขึ้นไปอีก
ในโรงเลี้ยงไก่ พวกไก่ที่เงื่องหงอยคอตก ก้นเปียกชื้น เป็นไก่ด้อยคุณภาพ ก็ล้วนถูกฆ่าและส่งเข้าตลาดเนื้อสดและตลาดเนื้อแปรรูปทั้งนั้น
เมื่อก่อนผมเคยชอบกินไก่ แต่พอได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานเลี้ยงไก่ใกล้บ้านแห่งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีความอยากกินไก่อีกเลย ผมเห็นคนเลี้ยงจะเดินตรวจตราห้องเลี้ยงทุกวัน เลือกเอาไก่ที่ป่วยและออกไข่น้อยออกมา ส่งไปขายในตลาด ไก่พวกนั้นจะเป็นพวกคอพับคอตก ก้นเปียกชื้น พวกมันถูกส่งเข้าโรงงานแปรรูป และที่น่าตกใจก็คือ อย่างน้อยก็ในเวลานั้น แทบไม่มีการตรวจสอบอะไรเลย ...ตอนนั้นกระเพาะอาหารมันเหมือนจะพูดกับผมเลยทีเดียวว่า อย่าได้เอาซากไก่ตายเหล่านั้นเข้ามาในหนังหุ้มของฉันอีกเลย
เขียนโดย 佚名
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170717/043271.htm
9 ส.ค. 2560
กินมังสวิรัติอย่างไรจึงกลายเป็นบาปได้
สิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนรู้ศาสนาพุทธก็คือการตั้งความเห็นให้ถูกและตรง หรือเป็นสัมมาทิฏฐิ หากไม่มีความเห็นที่ถูกตรง เน้นการปฏิบัติอยู่แค่รูปแบบ ไม่เพียงแต่จะมีมรรคผลได้ยากแล้ว ยังอาจจะเป็นการเดินสวนทางกับธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วยก็ได้
ยกตัวอย่าง นักปฏิบัติธรรมบางคนที่ปฏิญาณตนถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งมานานหลายปีแล้ว มีชีวิตที่พอเพียงเรียบง่าย ขยันพากเพียรในการปฏิบัติ สามารถกินมังสวิรัติได้อย่างต่อเนื่อง แต่พอเห็นสาวกของศาสนาพุทธท่านอื่นกินเนื้อสัตว์ ก็เกิดความรู้สึกต่อต้านทันที ถือเอาส่วนดีของตนไปตีค่าส่วนด้อยของผู้อื่น แล้วก็ไปตำหนิเขา ดูหมิ่นเขา คนแบบนี้แม้กินมังสวิรัติ จะยังเป็นบุญอยู่หรือ? จะสามารถช่วยให้การปฏิบัติธรรมมีความก้าวหน้าได้หรือ? ไม่ได้แน่นอน การกินมังสวิรัติแบบนี้เป็นการยึดมั่นถือมั่นอย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นการสร้างวิบากบาปเสียด้วยซ้ำ
คนที่สามารถกินมังสวิรัติได้ก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว ควรที่จะอนุโมทนาสาธุด้วย แต่ทว่า หากไม่มีความเห็นที่ถูกตรง การกินมังสวิรัติกลับจะกลายเป็นการเพิ่มกิเลสให้หนาขึ้น ถ้าหากว่ามีสาวกในพุทธศาสนาที่กินมังสวิรัติผู้ใดก็ตาม เมื่อเห็นว่าผู้อื่นกินมังสวิรัติไม่ได้ ปฏิกิริยาแรกก็คือการดูถูกเขา แบบนี้การกินมังสวิรัติก็จะกลายเป็นเหตุของการดูหมิ่นผู้อื่น ปฏิกิริยาต่อมาคือ จะเกิดความคิดในใจว่า "เขาทำไม่ได้ แต่เราสิทำได้" รู้สึกว่าตนเองเป็นเลิศกว่าผู้อื่น แบบนี้การกินมังสวิรัติก็จะกลายเป็นเหตุแห่งการเพิ่มอัตตามานะ คำโบราณกล่าวว่า "อัตตาข้าสูงดังขุนเขา คือกำแพงกั้นสายธารธรรม" การกินมังสวิรัติแบบนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมแล้ว ยังจะทำให้กิเลสพอกหนาขึ้นด้วย
เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมคือการลดและถอนกิเลสให้สิ้นเกลี้ยง ไม่ใช่การเพิ่มกิเลสเลย สิ่งที่เราทำได้ คนอื่นอาจจะยังทำไม่ได้ สิ่งที่คนอื่นทำได้ เราอาจจะยังทำไม่ได้ เราไม่ควรเอาส่วนดีของตนเองไปเปรียบเทียบกับส่วนด้อยของผู้อื่น แต่น่าที่จะเอาส่วนดีของผู้อื่นมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรายังด้อยอยู่ เพื่อให้เห็นว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ จะได้พยายามแก้ไขปรับปรุงและลดละกิเลสของตนเองให้น้อยลง เพื่อให้เข้าสู่เป้าหมายของการปฏิบัติอย่างแท้จริง
พระปัญญาคุณและพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้านั้นเปี่ยมล้นหาที่เปรียบมิได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีอานิสงส์อย่างมาก และเป็นความรู้ในทางกุศล เป็นคำสอนชี้นำชีวิตที่ถูกตรง หากการปฏิบัติของเราทั้งกาย วาจา ใจ ยังไม่สมบูรณ์รอบถ้วน หรือข้ามไปทางด้านสุดโต่ง เน้นแต่รูปแบบเสียแล้ว ก็จะกลายเป็นการเพิ่มกิเลสไปได้ อาการอย่างนี้อาจจะเกิดจากผลแห่งวิบากที่ยังมีความมืดอยู่ อาจจะยังยอมรับพระพุทธเจ้าหรือคำสอนที่เป็นความรู้ในทางกุศลไม่ได้ ยังไม่เกิดความเห็นที่ถูกตรง ยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ยังไม่สามารถเปิดเผยให้เห็นคุณภาพอันยอดเยี่ยมในจิตใจของเรา คือธาตุจิตที่มีเมตตาและปัญญา เพราะเหตุแห่งจิตภายในที่มีคุณภาพอันยอดเยี่ยมนี้เองที่เมื่อถูกเปิดออกให้เห็นแล้วอย่างแท้จริง กิเลสในตัวเราจะลดลงได้ ทำอย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง จึงจะสามารถเหนี่ยวนำให้ผู้อื่นเห็นตามได้ สามารถทำประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งปวงได้
ด้วยเหตุนี้ ในฐานะสาวกของพระพุทธศาสนา เราจึงต้องถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ปฏิบัติตามคำสอน สร้างความเห็นที่ถูกตรง ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เปิดเผยเมตตาและปัญญาในจิตของเรา และนำมาปฏิบัติในการดำเนินชีวิตจริง ทำให้คนในสังคมสัมผัสรับรู้ได้ถึงความลึกซึ้งยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ นี่คือหน้าที่และความรับผิดชอบของเราในฐานะสาวกในพุทธศาสนา ความรับผิดชอบนี้สามารถเริ่มต้นด้วยการไม่ทำร้ายชีวิตสัตว์ การไม่ทำร้ายชีวิตสัตว์ก็ควรจะเริ่มจากการกินมังสวิรัติ และการกินมังสวิรัติก็ควรจะเริ่มจากการปฏิบัติที่จิตก่อน เมื่อเราเห็นคนอื่นกินเนื้อสัตว์ ควรจะทำใจยอมรับและประนีประนอม เปิดใจให้กว้าง ฝึกทำความเห็นของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ทำให้เราก้าวเข้าสู่ทางแห่งการหลุดพ้นให้ได้ แล้วเราก็จะยิ่งทำประโยชน์ให้แก่สัตว์ทั้งปวงได้มากขึ้น
เขียนโดย 太桥旦曾堪布
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20160816/021930.htm
6 ส.ค. 2560
รู้จักปล่อยวางจึงจะเป็นอิสระ
หลายครั้งที่เรารู้สึกเหนื่อย ส่วนใหญ่ไม่ใช่ความเหนื่อยทางกาย แต่เป็นความเหนื่อยทางใจ คือใจมันถูกผูกมัดรัดรึงด้วยเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้หลาย ๆ เรื่อง ถูกการงานกดดันบีบคั้นจนอ่อนเปลี้ย ความสุขที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาที่สุดของชีวิตก็อาจจะดูเลือนลางห่างไกลเหมือนภาพลวงตาของเมืองที่ปรากฏอยู่ในทะเล (mirage) ดังนั้น ชีวิตที่ต้องการเป็นอิสระอย่างแท้จริงจึงจำเป็นต้องเรียนรู้การปล่อยวาง
ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งมีพราหมณ์ชื่อว่า "นิ้วดำ" มาพบพระพุทธเจ้า พราหมณ์นั้นต้องการแสดงอิทธิฤทธิ์ของตนเองให้เห็นจึงใช้มือแต่ละข้างยกแจกันดอกไม้ใบเขื่องถวายแด่พระพุทธเจ้า (แจกันหนักขนาดที่คนปกติแบกด้วยสองมือยังไม่ค่อยไหว) แล้วขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟัง
พระตถาคตตรัสแก่พราหมณ์ว่า "วางลงเถิด"
พราหมณ์จึงวางแจกันในมือซ้ายของตนลง
พระตถาคตยังคงตรัสว่า "วางลงเถิด"
พราหมณ์จึงวางแจกันในมือขวาลงอีก
จากนั้นพระตถาคตยังคงตรัสแก่พราหมณ์อยู่ว่า "วางลงเถิด"
คราวนี้พราหมณ์มีสีหน้างุนงง "สองมือของข้าพเจ้าว่างเปล่าแล้ว วางหมดทุกอย่างแล้ว ขอถามว่าท่านยังบอกให้เราวางสิ่งใดอีกหรือ"
พระตถาคตตรัสว่า "ที่เราบอกให้ท่านวางลงนั้นไม่ใช่แจกันในมือ แต่บอกให้ท่านวางอินทรีย์ทั้งหก (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ผัสสะทั้งหก (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) และเวทนาทั้งหก (ความรู้สึกจากการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส รับรู้ธรรมารมณ์) เมื่อท่านสามารถวางสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว สิ้นเกลี้ยงแล้ว ท่านจึงจะพ้นจากพันธนาการแห่งชีวิตได้"
พราหมณ์ฟังแล้วตบกระหม่อมตัวเอง ได้บรรลุธรรมในขณะนั้นเอง "เออหนอ บัดนี้ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจว่าความมุ่งหมายของการมาที่นี่ก็เพื่อการปล่อยวางนี้เอง พระองค์ได้เปิดเผยสัจธรรมเช่นนี้ ทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเบาสบายขึ้นมากแล้ว" พูดจบก็รีบทำความเคารพพระตถาคตอย่างนอบน้อม
ปุถุชนบนโลกล้วนแบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า ความกดดันในจิตใจนั้นหนักหนายิ่งกว่าแจกันดอกไม้ในมือของพราหมณ์อย่างเหลือคณานับ ก็ภาระและความกดดันเหล่านี้เองที่ทำให้ชีวิตต้องทนทุกข์อย่างสาหัสสากรรจ์
เราจำเป็นต้องปล่อยวางเพื่อลดโหลดที่มากเกินไปเหล่านี้เสีย เป็นอย่างที่นักปฏิบัติธรรมมักจะพูดกันว่า "เพียงคิดปล่อยวาง ทางแห่งอิสรภาพก็กางกว้าง" คำว่าปล่อยวางก็คือการเอาออกซึ่งใจที่คิดแบ่งแยกเราเขา ใจที่ยึดความถูกความผิด ใจที่ยึดความได้ความเสีย ใจที่ยึดตัวยึดตน วางความเศร้าหมองในอดีต ไม่กังวลต่ออนาคต ไม่ยึดมั่นในปัจจุบัน มีแต่ต้องวางเสียก่อนจึงจะถือได้อย่างแท้จริง มีแต่ต้องวางเท่านั้นจึงจะได้รับความหลุดพ้นและเป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่มีทางปลดพันธนาการของจิตใจได้ เหมือนในมือของเราที่กำอะไรสักอย่างไว้แน่น กลัวว่ามันจะหลุดหายไป เราจะรู้สึกเหนื่อยในใจ การไม่ยอมวางของเก่าออกจากมือก็จะไม่มีโอกาสถือครองสิ่งใหม่ หากเรายึดถือความคิดของตนเองไว้อย่างแน่นหนาตายตัว ไม่สามารถคายของเก่าเพื่อรับของใหม่ได้ ปัญญาของเราก็จะไม่สามารถเจริญขึ้นได้ หรืออาจเลวร้ายถึงขั้นแน่นหนาตีบตันไปเลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม การปล่อยวางนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย โลกโลกีย์เต็มไปด้วยสิ่งยั่วเย้าลวงหลอก เมื่อเรามีสรรเสริญก็จะวางสรรเสริญไม่ได้ มีลาภมียศก็จะวางลาภวางยศไม่ได้ มีเงินทองก็จะวางเงินทองไม่ได้ มีบ้านหลังใหญ่ก็จะวางบ้านไม่ได้ มีหญิงงามเป็นภรรยาก็จะวางหญิงงามไม่ได้... ลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งต่าง ๆ ในโลกแห่งโลกีย์ ด้วยเหตุที่ในใจเราถูกครอบงำด้วยสิ่งเหล่านี้ เราจึงดูถูกมัน ต่อต้านมัน โจมตีมัน พร่ำพูดว่าจะต้องตัดขาดจากมัน สาบานอย่างเด็ดขาดว่าจะกบฏต่อมัน... มันเป็นสิ่งซึ่งหากไม่ได้มาก็จะเป็นทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่หากได้มาจะทุกข์ยิ่งกว่า เมื่อใดที่ใจเราถูกครอบงำด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ เมื่อนั้นก็จะมีความเศร้าหมองเป็นเพื่อน ตัดไม่ขาด วางไม่ลง
คนเราเมื่อชอบสิ่งใดก็จะวางไม่ลง ไม่ชอบ (มีความชัง) ก็วางไม่ลงเหมือนกัน เพียงแค่เรื่องของคนหนึ่งคน หรือเรื่องอะไรสักเรื่องเท่านั้น เราก็จะรู้สึกอึดอัดขัดข้อง วางไม่ลง เพียงแค่คำคำเดียว สิ่งของอย่างเดียว เราก็เกิดความคร่ำครวญในใจ วางไม่ลง... เพราะเหตุที่วางไม่ลง จิตใจก็จะถูกยึดครองด้วยความรู้สึกชอบ ชัง เศร้า กลัว รัก เกลียด โลภ... สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนก้อนหินใหญ่ทับอยู่ในจิตใจ มันหนักจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ทำให้เรามีความเศร้าหมองและเป็นทุกข์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่สามารถปลดปล่อยและเป็นอิสระได้
หากเราไม่กำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปเสีย ชีวิตจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร ทว่าก้อนหินในใจนี้เราต้องเป็นคนหยิบออกด้วยตนเอง ให้คนอื่นช่วยทำให้ไม่ได้เลย การเตือน การปลอบใจ และการให้กำลังใจของผู้อื่นจะมีผลก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น มีแต่ต้องปฏิบัติพัฒนาตนเอง เพิ่มพูนปัญญาของตนเองเท่านั้นที่จะมีผลได้จริง ๆ เพราะถ้าไม่มีปัญญาก็จะปล่อยวางไม่ได้ ไม่ว่าใครจะเอาเปรียบเราไปเท่าไร ไม่ว่าใครจะทำร้ายเราแค่ไหน ไม่ว่าใครจะรังแกเราขนาดไหน ไม่ว่าใครจะโกหกหลอกลวงเราเรื่องอะไร เมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว เราจะไม่เก็บเรื่องเหล่านี้ไว้ในใจอีก เราก็จะเป็นอิสระอย่างยิ่ง
สรุปว่าการปล่อยวางคือความใจกว้าง เป็นความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เป็นความแววไวแห่งปัญญา ความเข้าใจที่จะปล่อยวาง เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ฝึกหัดในการปล่อยวาง จึงจะได้อิสรภาพและความสุข จึงจะได้ความหลุดพ้นอย่างแท้จริง
เขียนโดย 吕静霞
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170629/019116.htm
4 ส.ค. 2560
ความหมายของคำว่ากินมังสวิรัติกับกินเจในจีน
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการกินมังสวิรัติ (素) ก็คือการกินเจ (齋) จริง ๆ แล้วสองคำนี้มีความแตกต่างกันอยู่ *
ทำไมหลายคนจึงแยกไม่ออกระหว่างกินมังสวิรัติกับกินเจล่ะ? อาจเป็นเพราะว่าในวัดท่านกินแต่มังสวิรัติกัน อันที่จริงกินมังสวิรัติกับกินเจนั้นไม่เหมือนกันเลย กินมังสวิรัติ (แบบจีน) คือการไม่กินอาหารที่เรียกว่า 荤 (ฮุน) และ 辛 (ซิน) ฮุนก็คืออาหารเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ รวมทั้งไข่และนมด้วย ซินก็คือพืชผักที่มีกลิ่นฉุนรุนแรง ๕ ชนิดคือ ต้นหอม กระเทียม กุ้ยช่าย หัวหอมเล็ก หัวหอมใหญ่ บางทีก็รวมไปถึงผักที่มีกลิ่นฉุนอื่น ๆ ที่คล้ายกันด้วย เช่น หอมแดง หอมป่า เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างกินมังสวิรัติกับกินเจคือไม่กินอาหารหลังเที่ยง
คำว่ากินเจเป็นคำศัพท์ทางศาสนา สำหรับศาสนาพุทธหมายถึงการไม่กินอาหารหลังเที่ยงวัน ในความหมายนี้อาหารที่กินจะเป็นอะไรก็ได้ จะกินมังสวิรัติก็ตาม หรือกินเนื้อสัตว์ก็ตาม ขอเพียงแต่ไม่กินหลังเวลาเที่ยงวันเท่านั้นก็ถือได้ว่าเป็นการกินเจแล้ว การกินเจถือว่ามีความสำคัญอย่างมากสำหรับศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศีลที่สาวกของศาสนาพุทธต้องปฏิบัติ ศาสนาอื่นก็มีการกินเจ และให้ความสำคัญกับการกินเจอย่างมากด้วย
ประเด็นสำคัญของการกินเจคือไม่กินอาหารหลังเที่ยงวัน ในที่นี้ต้องทำความเข้าใจคำว่าหลังเที่ยงวันให้ดี ศาสนาพุทธแบ่งเวลาในหนึ่งวันเป็น ๖ ช่วง มีกลางวัน ๓ ช่วง และกลางคืน ๓ ช่วง ช่วงเวลาหลังเที่ยงวันถ้าเทียบกับเวลาในระบบปัจจุบันก็คือประมาณบ่ายสองโมงไปแล้ว แต่ก็มีบางคนตีความว่าเวลาเที่ยงวันคือ ๑๒ นาฬิกา หลังเที่ยงวันก็คือหลัง ๑๒ นาฬิกา
การกินเจก็หมายถึงเมื่อเลยเวลาเที่ยงวันไปจนถึงรุ่งเช้าของวันถัดไปจะไม่กินอาหาร เวลารุ่งเช้าที่ว่านี้ถ้าจะระบุให้ชัดเจนลงไปก็คือเวลาที่เราสามารถมองเห็นเส้นลายมือได้โดยไม่ต้องใช้แสงไฟอย่างอื่นช่วย ในระหว่างการงดอาหารนี้สามารถดื่มน้ำหรือของเหลวได้ เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำผลไม้ เป็นต้น ในสมัยพุทธกาลพระมหากัสสปะที่ถือธุดงควัตรนั้นแม้แต่น้ำผลไม้ก็ไม่ดื่ม แต่ปัจจุบันมีนักบวชบางส่วนไม่สามารถปฏิบัติข้อนี้ได้ จึงมีการเปิดช่องให้กินเป็น "ยา" ได้ คือให้ถือว่าอาหารนั้นเป็นยา กินเพื่อรักษาอาการหิวเท่านั้น จึงเรียกอาหารมื้อค่ำในวัดว่า "อาหารโอสถ"
ความเป็นมาของการกินมังสวิรัติและกินเจ
ศาสนาพุทธในดินแดนจีนของชาวฮั่นเริ่มกำหนดให้กินมังสวิรัติมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ (梁武帝 พ.ศ. ๑๐๐๗ - ๑๐๙๒) ยุคราชวงศ์เหนือใต้ ดังนั้น อาหารในวัดจึงเรียกว่า 素齋 หมายถึงกินมังสวิรัติโดยไม่กินอาหารหลังเที่ยงด้วย โดยทั่วไปก็คือการกินข้าวต้มในตอนเช้ากับกินเจตอนกลางวัน แน่นอนว่าในสมัยนั้นต้องเป็นอาหารมังสวิรัติทั้งหมด เป็นวัตรปฏิบัติของผู้ออกบวชที่อยู่ในวัดต่าง ๆ ในสมัยนั้น และยังคงถือปฏิบัติกันในหลายวัดมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับฆราวาสทั่วไปเวลากินเจอาจจะใช้คำว่า 素齋 ด้วยก็ได้
อาหารโอสถยามค่ำนั้นเกิดจากการที่คนสมัยนี้ต้องทำงานในเวลากลางวัน พอถึงกลางคืนถ้าไม่กินอะไรเลยจะทนไม่ไหว จึงเปิดช่องให้กินเป็นยาได้ ความหมายก็คือกินเป็นยาเพื่อรักษาโรคความหิว ดังนั้นเวลาค่ำในโรงเจจึงนำอาหารที่เหลือจากตอนกลางวันออกมาให้แก่ผู้ที่ต้องการกินเป็นอาหารโอสถ โดยปกติจะไม่มีการทำอาหารใหม่ ผู้ที่กินก็ต้องมีความละอายในใจอยู่ ต้องแอบกินเงียบ ๆ พอให้หายหิวแล้วจบเรื่องไป
เกี่ยวกับเรื่องกิน มีศีลที่เกี่ยวข้องมากมาย ในที่นี้ไม่สะดวกที่จะอธิบายได้ทั้งหมด เพราะเรื่องกินเป็นเรื่องสามัญในชีวิตประจำวัน จึงมีเรื่องที่ต้องพิจารณาหลายอย่าง บทความนี้ต้องการบอกแต่เพียงว่ากินมังสวิรัติกับกินเจนั้นแตกต่างกันเท่านั้น เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ทราบไว้ว่าอย่าถวายอาหารให้พระเมื่อเลยเวลาเที่ยงวันไปแล้ว จะกลายเป็นเรื่องถูกหัวเราะเยาะหยันไป
เมื่อท่านทั้งหลายเข้าใจความแตกต่างระหว่างการกินมังสวิรัติกับกินเจแล้ว บางท่านก็จะคลายความสงสัยสับสนไปได้ เพราะมีบางท่านที่เพิ่งเริ่มศึกษาศาสนาพุทธกลัวว่าเมื่อเริ่มศึกษาแล้วก็ต้องกินมังสวิรัติให้ได้ คิดว่าตนเองคงจะปฏิบัติไม่ได้จึงเกิดความวิตกกังวลเศร้าหมอง รู้สึกว่าพุทธศาสนาเข้าถึงได้ยาก อันที่จริง ศาสนาพุทธไม่ได้บังคับให้ฆราวาสต้องกินมังสวิรัติให้ได้ แต่ก็แน่นอนว่าถ้าสามารถกินมังสวิรัติได้ก็จะเป็น "เรื่องดีของชีวิต" อย่างหนึ่ง
การกินเจจะได้อานิสงส์ ๕ อย่างคือ ลดกาม ลดความง่วงหงอยเกียจคร้าน มีจิตตั้งมั่น ไม่มีลมในท้อง และกายสงบมั่นคง นอกจากนี้ยังมีผลให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยง่ายด้วย
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20150719/014554.htm
หมายเหตุ * การอธิบายความในบทความนี้อ้างอิงตามคำภาษาจีนสองคำคือ 吃素 กับ 吃齋 ซึ่งไม่ตรงกับความเข้าใจของคนไทยในปัจจุบันเสียแล้ว อันที่จริง ตัวอักษร 齋 (อ่านว่า "ไจ") ที่เรามักเห็นในธงสีเหลืองตามร้านอาหารในช่วงเทศกาลกินเจนั้นเป็นตัวเขียนแบบดั้งเดิม มีที่มาจากการถือศีลไม่กินอาหารหลังเที่ยงของพระในวัดจีนที่เรียกว่า 素齋 (ซู่ไจ) ซึ่งในทางปฏิบัติคือการกินอาหารมังสวิรัติและไม่กินอาหารหลังเที่ยงด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์
วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...
-
โลกเรานี้ยังมีชนเผ่าที่แปลก ๆ อยู่ไม่น้อยเลย หลาย ๆ ชนเผ่ามีเอกลักษณ์ที่ประหลาดพิสดารอย่างเหลือเชื่อ เช่น มีชนเผ่าหนึ่งอยู่บนเกา...
-
ถั่วลิสงเป็นอาหารที่คนจีนนิยมกินกันมาแต่โบราณ ว่ากันว่า การกินถั่วลิสงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและป้องกันโรคหัวใจ...
-
ใกล้จะครบสามเดือนแล้วที่ฉันได้เลิกกินเนื้อสัตว์ บางคนคิดว่าฉันเลิกเนื้อสัตว์เพื่อรักษาสุขภาพ บางคนก็คิดว่าฉันต้องการรักษารูปร่าง...