30 ก.ย. 2560

ฮันซา (Hunza) ชนเผ่ามหัศจรรย์ที่อายุยืนที่สุดในโลก



        โลกเรานี้ยังมีชนเผ่าที่แปลก ๆ อยู่ไม่น้อยเลย หลาย ๆ ชนเผ่ามีเอกลักษณ์ที่ประหลาดพิสดารอย่างเหลือเชื่อ เช่น มีชนเผ่าหนึ่งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ทางฝั่งตะวันตกของอังกฤษที่แสดงความรู้สึกยินดีด้วยการร้องไห้ เมื่อมีงานแต่งงานพวกเขาจะมารวมกลุ่มกันแล้วร้องไห้เสียงดัง ๆ พร้อม ๆ กัน เพื่อแสดงความยินดีและมีความสุข หรือในซาอุดิอาระเบียมีชนเผ่าหนึ่งที่ถือว่าการหัวเราะเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ ถ้ามีใครหัวเราะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่จะต้องถูกหัวหน้าเผ่าลงโทษ เป็นต้น

        ในบรรดาชนเผ่าแปลก ๆ อันเหลือเชื่อเหล่านี้ เราอยากจะให้ท่านได้รู้จักกับชาวเขาเผ่าฮันซา (Hanza) ที่ได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่แข็งแรงที่สุดในโลก

"เบิกบาน แข็งแรง มีชีวิตชีวา พวกเขากินอาหารที่สดใหม่ (แอปริคอต) หายใจกับอากาศบนเขาสูง ดูเป็นคนอ่อนวัย และไม่ค่อยมีคนเจ็บป่วย"

        ปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เจมส์ ฮิลตัน นักเขียนชาวอังกฤษ ได้หลงเข้าไปในหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าฮันซา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาที่เงียบสงบ มีลำธารสองสายไหลผ่าน ลำธารแม้จะคดเคี้ยวแต่ก็ดูเรียบง่ายเหมือนเป็นเส้นที่ถูกลากด้วยมือของเด็กน้อย

        หมู่บ้านฮันซาเป็นดินแดนราวกับสวรรค์บนโลกมนุษย์ที่ทำให้เจมส์ ฮิลตันรู้สึกหลงใหลอย่างลึกซึ้ง ถึงขนาดเรียกมันว่า "เชียงกรีล่า" เขาได้เขียนบรรยายความประทับใจไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า "Lost Horizon"

        นายแพทย์โรเบิร์ต แมคคาร์ที ผู้นำกลุ่มวิจัยที่มาทำการศึกษาชีวิตชาวฮันซาใช้คำเรียกขานชนเผ่านี้ว่า "ชนเผ่าที่ไม่ป่วย"

        ในปี ค.ศ. ๑๙๙๙ มร. เคอิชิ โมริชิตะ (Keiichi Morishita) ผู้ก่อตั้งสถาบันสุขภาพวิถีธรรมชาติ ได้ทำการตรวจสุขภาพชาวฮันซาที่มีอายุเกินร้อยปีจำนวน ๑๒๙ คน พบว่าในร่างกายของพวกเขามีไลโปฟัสซิน (Lipofuscin รงควัตถุที่บ่งบอกถึงความชรา) อยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ของพวกเขาดูอ่อนวัย เทียบเท่ากับคนในเมืองที่อายุประมาณ ๕๐ ปี

        ณ หมู่บ้านแห่งนี้ คนอายุ ๖๐ ถึง ๗๐ ปีก็ยังไม่ถือว่าแก่ คนอายุเกินร้อยปีแล้วก็ยังคล่องแคล่วว่องไว เดินขึ้นเขาได้ราวกับเดินอยู่บนพื้นราบ

        ชาวฮันซามีอายุขัยเฉลี่ย ๑๒๐ ปี


        ฮันซาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศปากีสถาน เป็นดินแดนที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาหิมาลัย อยู่บนเขตภูเขามีความสูง ๒๔๓๘ เมตรจากระดับน้ำทะเล มีอาณาเขตจากเหนือถึงใต้ ๑๖๑ กิโลเมตร จากตะวันออกถึงตะวันตก ๕ กิโลเมตร มีประชากรประมาณ ๖ หมื่นกว่าคน ในช่วงเวลาสองพันกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถานไปแล้ว

        ชาวปากีสถานอื่น ๆ มีอายุขัยเฉลี่ย ๖๗ ปี แต่ที่ฮันซาคนอายุ ๑๐๐ ปีก็ยังไม่ถือว่าแก่ด้วยซ้ำ ยังแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ คำกล่าวที่ว่า "you are what you eat" เป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย มันคือเคล็ดลับความมีอายุยืนของชาวเขาเผ่านี้นี่เอง 

        พวกเขาไม่ได้อยู่เพื่อกิน แต่กินเพื่ออยู่

        ชาวฮันซากินอาหารวันละ ๒ มื้อ คืออาหารเช้าและอาหารค่ำหลังพระอาทิตย์ตก นอกจากนี้พวกเขายังกินแต่อาหารที่มาจากธรรมชาติเท่านั้น ได้แก่ ผลไม้ พืชผัก ธัญพืช เป็นต้น โดยไม่มีสารเคมีหรือสารปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น 

        เป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ที่จะมีลูกตอนอายุ ๖๐ ปี เราอาจจะรู้สึกประหลาดใจมาก แต่สิ่งเหล่านี้เป็นคุณประโยชน์อันเกิดจากการกินอาหารและวิถีชีวิตของพวกเขา

        ๙๐๐ ปีมานี้ไม่มีคนเป็นโรคมะเร็งเลย 


        ที่นี่มีภูมิประเทศราวกับภาพวาด สงบสุขเหมือนคำพรรณนาในกวีนิพนธ์ ทุกคนมีชีวิตแบบกสิกรตามวิถีธรรมชาติ "ตะวันขึ้นก็ทำงาน ตะวันตกก็พักผ่อน" ทำอย่างพออยู่พอกิน ไม่แข่งไม่แย่งกับใคร แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวล้วนต่างไปมาหาสู่กัน พวกเขาถูกมองว่าเป็นชนเผ่าที่แข็งแรงที่สุดในโลก ว่ากันว่าคนในชนเผ่าของพวกเขานั้น ตลอดระยะเวลา ๙๐๐ ปีที่ผ่านมานั้นยังไม่เคยมีใครเป็นโรคมะเร็งเลย

        คนในท้องถิ่นนี้แทบจะไม่เคยป่วย คนอายุ ๖๐ - ๗๐ ปียังไม่เรียกว่าแก่ คนอายุ ๘๐ - ๙๐ ปียังคงทำงานในสวนในไร่กันอยู่ อายุขัยโดยเฉลี่ยของชาวฮันซาจะเกินร้อยปีขึ้นไป มีการเจ็บป่วยน้อยมาก และแทบจะไม่มีคนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้ทั่วไปในคนเมืองสมัยนี้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตผิดปกติ เป็นต้น

        นอกจากนี้ หน้าตาผิวพรรณและสมรรถภาพทางร่างกายของพวกเขายังดูอ่อนกว่าวัยอีกด้วย คุณยายที่อายุ ๙๐ กว่าปีจะดูอ่อนวัยเหมือนหญิงอายุ ๔๐ หรือ ๕๐ ปีเท่านั้น

        กินมังสวิรัติและกินผักสดเป็นหลัก


        มีนักวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า เหตุผลที่ชาวฮันซามีอายุยืนเกิดจากการที่พวกเขากินอาหารที่เป็นผักและผลไม้ตามธรรมชาติเป็นหลัก ชาวฮันซาแทบจะไม่กินอาหารที่มาจากสัตว์เลย เมื่อเปรียบเทียบอัตราส่วนของพลังงานที่ได้จากเนื้อสัตว์และนมกับปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ พวกเขาได้แคลอรี่จากเนื้อสัตว์และนมเพียง ๑.๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 

        ปกติพวกเขาจะกินผักและผลไม้ตามธรรมชาติเป็นอาหารหลัก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนเชื้อเพลิง จึงกินผักสด ๆ มากกว่าเอาไปปรุง ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นธรรมชาติและอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอย่างมาก 

        นอกจากผักและผลไม้แล้ว (ผลไม้หลักคือมัลเบอรี่และแอปริคอต) ธัญพืชที่ชาวฮันซากินเป็นประจำคือข้าวสาลีและข้าวฟ่าง และมักจะนำมาผสมกับถั่วปากอ้า ถั่วเหลือง ข้าวบาร์เลย์ หรือถั่วลันเตาบดให้เป็นแป้งแล้วเอามาทำเป็นแผ่นแป้งอบที่เรียกว่า "จาปาตี" ซึ่งในกระบวนการทำแป้งนี้พวกเขาจะไม่เลือกเอาเปลือกถั่วและเมล็ดถั่วที่เริ่มงอกออกทิ้งด้วย ดังนั้นส่วนที่มีคุณค่าสูงเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในอาหารที่พวกเขากิน 

        ปกติพวกเขาจะดื่มน้ำที่ละลายมาจากธารน้ำแข็ง และน้ำนี้ยังเป็นน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกของชาวฮันซาอีกด้วย การปลูกผักและผลไม้ของพวกเขาจะไม่มีการใช้สารเคมีหรือปุ๋ยเคมีเลย แต่จะใช้ปุ๋ยหมักที่ทำจากเศษพืชผักและใบไม้ จึงไม่มีการปนเปื้อนและมีธาตุอาหารสำหรับพืชผักอย่างอุดมสมบูรณ์

        มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มีรอยยิ้มให้กับผู้คน


        วิถีชีวิตแบบที่จั่วหัวไว้ในวลีข้างต้นนี้ เป็นเรื่องที่หาได้ยากจากคนเมืองทันสมัยในปัจจุบัน แต่ในโลกของชาวฮันซา อารมณ์ที่เป็นลบต่าง ๆ เช่น เครียด กดดัน ขัดแย้ง หรือการทะเลาะเบาะแว้งจะพบได้น้อยมาก พวกเขาไม่ตั้งข้อสงสัยกับตัวเอง และแทบจะไม่มีใครป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบจิตประสาทเลย

        โลกของพวกเขาก็เหมือนโลกของเด็ก ๆ มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และมีรอยยิ้มให้กับทุกคน

        ชาวฮันซาไม่ขี้เกียจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาขยันขันแข็งกันมาก ทำงานตั้งแต่เช้าจนพระอาทิตย์ตก พวกเขาชอบเดินและเคลื่อนไหวมากกว่านั่งดูภาพยนตร์อยู่ในบ้าน


        ชีวิตที่กินผักเป็นอาหารหลัก มีวัตถุดิบอาหารมาจากธรรมชาติที่ไม่มีสารปนเปื้อน อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย อีกทั้งมีอุปนิสัยเป็นคนใจพอสันโดษ มีความสุขกับสิ่งที่ตนเองหาได้ จึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะได้ชื่อว่า "ชนเผ่าที่แข็งแรงที่สุดในโลก"

        วิถีแห่งการกินอาหารของพวกเขาได้กลายเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของการมีวิถีชีวิตแบบกินพืชผักเป็นอาหาร และเป็นการพิสูจน์ด้วยว่ายิ่งกินมังสวิรัติก็ยิ่งมีสุขภาพดี


ที่มา http://ss.zgfj.cn/YGSF/2017-04-21/17473.html

27 ก.ย. 2560

น้ำเต้าหู้ ดื่มอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด



        ถั่วเหลืองเป็นอาหารที่รัฐบาลจีนแนะนำประชาชนว่ากินได้ทุกวัน เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีประโยชน์มาก ดังนี้

        ๑. มีโปรตีนคุณภาพดีมากกว่าเนื้อหมู ๒ เท่า มากกว่าไข่ไก่ ๒.๕ เท่า และยังถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าด้วย

        ๒. ในถั่วเหลืองมีเลซิติน (lecitin) มาก สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

        ๓. ถั่วเหลืองมีวิตามินบีมาก นอกจากนี้ สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ในถั่วเหลืองก็เป็นสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากด้วย 

        ถั่วเหลืองเป็นธัญพืชที่มีประโยชน์อย่างมาก มีวิธีทำเป็นอาหารได้อย่างหลากหลาย หนึ่งในวิธีรับประทานถั่วเหลืองที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายที่สุดคือทำเป็นน้ำเต้าหู้ ทว่าการทำน้ำเต้าหู้รับประทานนั้นมีข้อควรระวังดังต่อไปนี้

        ๑. ห้ามดื่มน้ำเต้าหู้ดิบ


        ในถั่วเหลืองดิบมีสารซาโปนิน (saponin) ซึ่งอาจทำให้มีอาการไม่สบายได้หลายอย่าง เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องอืด เป็นต้น นอกจากนี้ ถั่วเหลืองดิบยังมีสารยับยั้งเอนไซม์ทริพซิน (Trypsin inhibitor) ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายมีความสามารถในการย่อยโปรตีนได้น้อยลง รวมทั้งเซลล์เลคติน (lectin) ที่ทำให้เลือดแข็งตัว ส่วนเอนไซม์ urease ในเมล็ดถั่วก็มีผลยับยั้งกระบวนการเมตาบอลิซึมไอโอดีนในร่างกายด้วย

        อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยการทำให้สุกด้วยความร้อน ดังนั้น ในการต้มน้ำเต้าหู้ควรจะต้มให้สุกก่อนรับประทาน เวลาต้มหากมีฟองขึ้นมามากก็ต้องลดไฟให้อ่อนลงและต้มต่อไปอีกประมาณห้านาทีก่อนจะนำมาดื่ม

        ๒. น้ำแช่ถั่วเหลืองต้องเททิ้งให้หมด


        ในขั้นตอนการเตรียมถั่วเหลืองก่อนจะนำมาทำน้ำเต้าหู้ เมื่อเราแช่ถั่วเหลืองไว้ในน้ำ เมล็ดถั่วจะดูดน้ำไว้แล้วพองตัว ในขณะเดียวกันสารเคมีในถั่วเหลืองจะละลายออกมาในน้ำ เช่น กรด tannic กรด oxalic กรด phytic รวมทั้ง flavonoid และวิตามินอื่น ๆ ที่ละลายในน้ำด้วย

        สารเหล่านี้ไม่เพียงทำให้น้ำแช่ถั่วเหลืองมีรสฝาดเฝื่อน แต่มันยังยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ ของร่างกายด้วย และการได้รับกรด oxalic มากเกินไปทำให้มีโอกาสเป็นโรคนิ่วในไตมากขึ้นด้วย

        ดังนั้น น้ำที่แช่ถั่วเหลืองควรเททิ้งให้หมด อย่าเสียดาย

        ๓. กากของถั่วเหลืองยังใช้ประโยชน์ได้ 


        กากของถั่วเหลืองที่เหลือจากการกรองเอาน้ำเต้าหู้ไปใช้แล้วนั้น มีใยอาหารอยู่เยอะมาก น่าเสียดายหากเอาไปทิ้งเสียเปล่า แต่จะเอามากินเลยก็ยังกินยาก ต้องดัดแปลงและปรุงแต่งอีกนิดหน่อย จะได้เป็นอาหารอีกอย่างที่น่ารับประทานทีเดียว

        ผสมแป้งสาลีกับกากถั่วเหลืองเข้าด้วยกัน ทำเป็นหมั่นโถวกากถั่วเหลืองหรือคุกกี้กากถั่วเหลือง เอามานึ่งหรือทอดกินก็ได้ หรือเวลาทำ "วอวอโถว" (หมั่นโถวชนิดหนึ่งของจีน) สามารถผสมกากถั่วเหลืองเข้าไปด้วย จะทำให้เนื้อวอวอโถวที่หยาบและแข็งมีรสสัมผัสร่วนซุยมากขึ้น

        คนที่ไม่ควรดื่มน้ำเต้าหู้


        ๑. คนเป็นโรคกระเพาะอาหารหรือมีอาการกระเพาะอาหารอักเสบ ไม่ควรกินอาหารที่ทำจากถั่ว เพราะจะไปกระตุ้นให้มีกรดในกระเพาะมากขึ้นและมีอาการปวดมากขึ้น

        ๒. ในถั่วมีโอลิโกแซ็กคาไรด์ (oligosaccharides) ทำให้มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ ดังนั้น ผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารควรกินแต่น้อย ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ไตเสื่อม ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีโปรตีนแต่น้อย ๆ มิฉะนั้นจะเป็นการเพิ่มภาระให้ไตทำงานหนักมากขึ้น 

        ๓. ออกซาเลต (oxalate) ในถั่วนั้นสามารถเข้าไปรวมตัวกับแคลเซียมในไตได้ กลายเป็นก้อนแข็ง ทำให้มีอาการนิ่วในไตรุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนิ่วในไตจึงควรงดรับประทาน

        ๔. โรคเกาต์เกิดจากของเสียที่เหลือจากการใช้สารพิวรีนของร่างกาย ในถั่วเหลืองนั้นมีพิวรีนมาก และพิวรีนยังเป็นสารที่เป็นของเหลวด้วย ดังนั้น เมื่อนำถั่วเหลืองไปทำเป็นน้ำเต้าหู้ จะได้สารพิวรีนมากกว่าอาหารจากถั่วชนิดอื่น ๆ หลายเท่า ดังนั้น น้ำเต้าหู้จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ 


ที่มา
๑. https://view.inews.qq.com/a/20170911A03JP600
๒. https://kuaibao.qq.com/s/20170918A02ICR00

25 ก.ย. 2560

กินถั่วลิสงอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์และไม่มีโทษ



        ถั่วลิสงเป็นอาหารที่คนจีนนิยมกินกันมาแต่โบราณ ว่ากันว่า การกินถั่วลิสงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและป้องกันโรคหัวใจได้ จริง ๆ แล้วถั่วลิสงมีคุณค่าอย่างไร ป้องกันโรคหัวใจได้จริงหรือ

        ถั่วลิสงมีคุณค่าอย่างไร


        ในสายตาของคนจำนวนมาก ถั่วลิสงเป็นของกินที่ดูพื้น ๆ บ้าน ๆ มาก แต่คุณค่าของมันมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว

        ถั่วลิสงมีใยอาหารมาก แถมยังอุดมด้วยไขมันและกรดไขมัน โดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัว นอกจากนี้ ถั่วลิสงยังประกอบด้วยโปรตีนและวิตามินบี ๑ ค่อนข้างมาก รวมทั้งไนอะซิน (วิตามินบี ๓) ด้วย

        ดังนั้น อย่าได้เห็นว่าหน้าตาเจ้าถั่วลิสงนี้ดูเหมือนจะกระจอก ๆ แต่คุณค่าทางโภชนาการของมันนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามันคือ "อาหารที่มากด้วยคุณค่าแต่หน้าตาธรรมด๊าธรรมดา"

        ถั่วลิสงมีประโยชน์ต่อความแข็งแรงของหลอดเลือดหรือไม่


        จากงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศในยุคนี้ การกินถั่วลิสงในปริมาณที่พอเหมาะจะเป็นประโยชน์ต่อความแข็งแรงของหลอดเลือดได้จริง ๆ การกินเป็นประจำจะสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้เช่นเดียวกับการกินถั่วเปลือกแข็งชนิดอื่น ๆ เช่น อัลมอนด์ วอลนัท พิซทาชิโอ เฮเซลนัท เป็นต้น

        มหาวิทยาลัยเพอร์ดู (Purdue University - สหรัฐอเมริกา) ได้ศึกษาวิจัยกลุ่มทดสอบแบบสุ่มตัวอย่างจำนวนหนึ่งพบว่า กลุ่มคนที่กินถั่วลิสงทุกวัน วันละ ๔๒ กรัม มีไขมันในเลือดและความดันเลือดต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กินอย่างเห็นได้ชัด

        ในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ มหาวิทยาลัย Maastricht (ฮอลแลนด์) ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตโดยเปรียบเทียบในคนที่กินลูกเบอรี่และถั่วลิสงกับคนทั่วไป โดยติดตามผลจากกลุ่มทดสอบชาวฮอลแลนด์ที่มีอายุระหว่าง ๕๕ ถึง ๖๙ ปี จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ กว่าคน เป็นเวลานาน ๑๐ ปี ผลการวิจัยพบว่าคนที่กินถั่วลิสงวันละ ๕ กรัม มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าคนที่ไม่ได้กิน ๑๖ เปอร์เซ็นต์ และคนที่กินถั่วลิสงวันละ ๑๐ กรัม มีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าคนที่ไม่ได้กิน ๒๓ เปอร์เซ็นต์

        ปี ค.ศ. ๒๐๑๗ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (University of Pennsylvania) ได้ทำการศึกษาแบบสุ่มตัวอย่างและเปรียบเทียบในกลุ่มผู้ชายอ้วนและมีน้ำหนักเกินแต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ โดยในมื้ออาหารหนึ่งมื้อซึ่งมีไขมันสูงให้กินถั่วลิสงด้วยประมาณ ๓ ออนซ์ (๘๕ กรัม) พบว่ามีผลในทางช่วยลดไขมันในเลือดได้ เปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่กินถั่วลิสงแล้วพบว่ากลุ่มที่กินถั่วลิสงในมื้ออาหารด้วยจะมีระดับของ Triglyceride ลดลง ๓๒ เปอร์เซ็นต์ และมีผลในทางสอดคล้องกันในค่าไขมันตัวอื่น ๆ ด้วย เช่น คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL Cholesterol) คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL Cholesterol) รวมทั้งระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดด้วย

        นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่กินถั่วลิสงจะช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น โดยมีการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยสตรี ๕ หมื่นกว่าคน ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๒๒ ปี พบว่าผู้ที่กินถั่วลิสงทุกวันจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน

        กินถั่วลิสงอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่อหลอดเลือด


        ถึงแม้ว่าถั่วลิสงจะมีประโยชน์ต่อความแข็งแรงของหลอดเลือด แต่ต้องกินให้ถูกวิธีจึงจะได้ผล หากกินไม่ถูกวิธีอาจมีผลเสียต่อหลอดเลือดก็ได้

        ๑. ไม่ควรกินมากเกินไป


        แม้ว่าถั่วลิสงจะมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดก็ตาม แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่ว่าต้องกินแต่น้อย เพราะว่าถั่วลิสงหรือถั่วเปลือกแข็งชนิดอื่น ๆ แม้จะมีคุณค่ามาก แต่ก็มีปริมาณไขมันไม่น้อยเลย ถั่วลิสง ๒๕๐ กรัมมีพลังงานเกือบ ๑๕๐๐ แคลอรี่ คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าครึ่งของปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ ถั่วลิสงยังมีรสชาติอร่อยด้วย จึงทำให้เราเผลอกินมากเกินไปได้โดยง่าย ถ้าไม่ระวังก็มีหวังได้รับพลังงานมากเกินไปอย่างแน่นอน

        ดังนั้น หากต้องการช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรงขึ้น การกินถั่วลิสงเราต้องควบคุมปริมาณให้ได้ อดใจไว้หน่อย ห้ามกินมากเกินไปเด็ดขาด

        สมาคมผู้ป่วยโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาได้แนะนำไว้ว่า ให้กินวันละไม่เกินหนึ่งกำมือ

        ในหนังสือ "คู่มืออาหารสำหรับประชาชนจีน" ปี ค.ศ. ๒๐๑๖ แนะนำว่า ในแต่ละวันร่างกายต้องการอาหารประเภทถั่ว ๒๕ ถึง ๓๕ กรัม หรือเท่ากับถั่วลิสงวันละประมาณ ๒๐ เมล็ด จึงเป็นปริมาณที่เหมาะสม *

        ๒. พยายามกินแบบไม่ปรุงแต่ง


        หลายคนชอบกินถั่วลิสงทอดหรือถั่วลิสงคั่ว เวลากินก็มักจะเติมเกลือลงไปด้วย และไม่ใช่เติมน้อย ๆ เลย การกินแบบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ ๆ การเติมเกลือจะทำให้ร่างกายดูดซึมเกลือเข้าไปมาก ซึ่งไม่ดีต่อหลอดเลือดอย่างยิ่ง ส่วนการทอดด้วยน้ำมันนั้น เท่ากับยิ่งเพิ่มไขมันเข้าไปอีก ก็ไม่ดีต่อหลอดเลือดเช่นกัน ดังนั้น เวลาเรากินถั่วลิสงไม่ควรเอาไปทอดด้วยน้ำมันหรือปรุงด้วยเกลือ ควรกินเป็นถั่วต้ม ถั่วคั่วแบบแห้ง หรือทำเป็นยำถั่วลิสงกับซอสเปรี้ยว (อาหารจีน) จะดีกว่า

        ในท้องตลาดยังมีถั่วลิสงในรูปแบบต่าง ๆ ที่บรรจุสำเร็จมาเป็นแพ็คเกจอีกมากมาย มีรสเค็มบ้าง รสเผ็ดบ้าง มีหลายอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์เท่าไร ควรเลือกกินแบบที่ไม่ปรุงแต่งเลยดีที่สุด

        ๓. ไม่กินถั่วลิสงที่ขึ้นรา


        ถ้าถั่วลิสงขึ้นราแล้วมักจะมีสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสารพิษและเป็นสารก่อมะเร็งด้วย ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการกินถั่วลิสงที่ขึ้นรา เวลาซื้อถั่วลิสงก็ต้องสังเกตให้ดีด้วยว่าขึ้นราแล้วหรือไม่ 


ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20170918A0694C00

* ดร. ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำในการบรรยายในค่ายสุขภาพว่า ปริมาณในการกินถั่วลิสงที่พอเหมาะอยู่ที่ประมาณวันละ ๑ ถึง ๕ ช้อนแกง ขึ้นอยู่กับสภาวะของร่างกายแต่ละคน โดยถือเอาตามหลักของแพทย์วิถีธรรมว่า ให้กินได้ในปริมาณที่รู้สึกสบาย ไม่ฝืดฝืนจนเกินไป และควรกินถั่วหลากหลายชนิดร่วมกันในแต่ละวันหรือในแต่ละสัปดาห์ จะเป็นประโยชน์ดีกว่ากินถั่วชนิดเดียวตลอดเวลา




24 ก.ย. 2560

นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่จริง



        มหาวิทยาลัย Cardiff ของอังกฤษและมหาวิทยาลัย Texas ของอเมริกา ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยพบว่า "ทำชั่วได้ชั่ว" นั้น สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ ผลของการศึกษาสรุปได้ว่า เยาวชนที่ทำผิดกฎหมายแม้ว่าจะมีร่างกายที่แข็งแรงล่ำสันกว่าเยาวชนในวัยเดียวกันที่ปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เมื่อมีอายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว สุขภาพของพวกเขาจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหรือพิการมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

        เมื่อจิตของคนคิดถึงสิ่งที่เป็นกุศล คิดในเชิงบวกอย่างจริงใจ ร่างกายจะหลั่งสารที่มีผลให้เซลล์แข็งแรงขึ้นออกมา 

        นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสารเคมีของระบบประสาทในร่างกายมนุษย์แล้วพบว่า เมื่อมนุษย์มีจิตใจที่คิดในเรื่องดี (เป็นกุศล) และคิดในเชิงบวก ร่างกายจะหลั่งสารสั่งการประสาทที่ทำให้เซลล์แข็งแรงออกมา ช่วยคุ้มครองเซลล์ให้ตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า ทำให้ไม่ป่วยง่าย และถ้ารักษาจิตใจแบบนี้ไว้ได้เสมอ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะแข็งแรง แต่ถ้าจิตมีความคิดในเรื่องที่ไม่ดี (เป็นอกุศล) คิดในเชิงลบ ระบบประสาทก็จะกลับกลายไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือจะถูกกระตุ้นให้เป็นไปทางเสื่อม ระบบภูมิคุ้มกันก็จะถูกกดเอาไว้ ความสามารถของร่างกายและระบบการไหลเวียนจะถูกทำลาย ดังนั้น คนดีมีคุณธรรมจึงมักจะแข็งแรงและอายุยืนมากกว่าคนเลว 

        นอกจากนี้ นิตยสารฉบับหนึ่งในอเมริกาเคยรายงานผลการวิจัยในหัวข้อ "อารมณ์ร้ายก่อสารพิษ" ระบุว่า จากการทดลองในห้องแลบพบว่า ความคิดที่ชั่วร้ายสามารถทำให้สารเคมีในร่างกายคนเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสารพิษในกระแสเลือดได้ กล่าวคือในภาวะอารมณ์ปกติเมื่อคนพ่นลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วที่วางไว้ในน้ำแข็ง ไอน้ำจากลมหายใจที่เกาะอยู่บนหลอดแก้วจะโปร่งใสและไม่มีสี แต่เมื่อคนมีอารมณ์เคียดแค้น พยาบาท โกรธ กลัว หรือริษยา ไอน้ำที่เกาะบนหลอดแก้วจะเปลี่ยนไปเป็นสีต่าง ๆ กัน และเมื่อนำไปวิเคราะห์ทางเคมีจึงพบว่า ความคิดในเชิงลบของมนุษย์ก่อให้เกิดสารพิษในของเหลวในร่างกายได้

        เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเยลร่วมกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในหัวข้อ "ความสัมพันธ์ในสังคมมีผลอย่างไรต่ออัตราการเสียชีวิตของคน" ผู้วิจัยได้สุ่มตัวอย่างประชากร ๗,๐๐๐ คน และติดตามสังเกตผลอยู่เป็นเวลานานถึง ๙ ปี พบว่าคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นและมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเป็นสุข จะมีสุขภาพดีและอายุยืนกว่าคนที่ชอบคิดร้าย จิตใจคับแคบและเห็นแก่ตัว ยิ่งกว่านั้น คนในกลุ่มที่สองนี้ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนปกติ ๑.๕ ถึง ๒ เท่า

        แม้ว่าจะมีความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ ฐานะทางสังคม และพฤติกรรมการออกกำลังกายของคนในกลุ่มทดลอง แต่ผลการศึกษาก็ได้ข้อสรุปออกมาตรงกันหมด ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงรายงานสรุปผลการวิจัยได้ว่า การเป็นคนดีสามารถทำให้อายุยืนได้

        มีงานวิจัยอีกมากที่ได้ข้อสรุปออกมาตรงกัน นั่นก็คือจิตใจที่บริสุทธิ์ เป็นกุศล คิดในเชิงบวกสามารถทำให้ชีวิตแข็งแรงและเป็นสุขได้ ส่วนจิตใจที่ชั่วร้ายจะทำให้ร่างกายเสียสมดุลและเจ็บป่วย นี่คือการค้นพบในวงการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งความรู้เหล่านี้มีบันทึกไว้ในภูมิปัญญาโบราณของจีนมานานนับพันปีแล้ว เช่น ขงจื๊อเคยกล่าวว่า "ผู้มีเมตตาจะมีอายุยืน" หรือในตำราแพทย์แผนจีนโบราณมีกล่าวไว้ว่าอารมณ์ที่ผ่องใส "โรคภัยจะไม่มากล้ำกราย" เป็นต้น

        พวกอเทวนิยมอาจจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่ผลทางด้านจิตวิทยาเท่านั้น ศีลธรรมนั้นล้วนกำหนดขึ้นโดยมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มีมาตรฐานที่แน่นอนตายตัวอะไร ความดีความชั่วก็ไม่มีมาตรฐานอะไร คนดีคนเลวก็เกิดจากการนิยามของคนด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่ได้เติบโตและถูกกล่อมเกลามาภายใต้ระบบศีลธรรมแบบนี้ ก็จะไม่มีความรู้สึกผิดบาปและไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างนี้หรอก

        แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับตรงกันข้าม การวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า พฤติกรรมดีและชั่วนั้นมีคลื่นของพลังงานที่มีความถี่แตกต่างกัน มีคุณสมบัติทางฟิสิกส์แตกต่างกัน เด็กทารกที่เพิ่งคลอด ยังไม่ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมใด ๆ ทั้งสิ้น ล้วนมีธาตุเดิมที่ดีเหมือนกันหมด เมื่อคนจะพูดโกหก หลอกลวง ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์สงบนิ่งเพียงใดก็ตาม กายภาพของร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยที่เจ้าตัวไม่สามารถควบคุมได้ และเราสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ด้วยเครื่องมือจับเท็จที่ละเอียดอ่อน ร่างกายมนุษย์เหมือนจะแปรผันไปตามกฎเกณฑ์บางอย่างที่แน่นอน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะในจิตของคนเท่านั้น 



        งานวิจัยเรื่องผลึกน้ำ (โดย Dr. Masaru Emoto) ซึ่งเป็นงานวิจัยแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ที่ส่งผลสะเทือนไปทั่วโลกนั้นพบว่า วัตถุต่าง ๆ ล้วนมีจิตวิญญาณทั้งสิ้น ความดีความชั่วดูเหมือนจะมีมาตรฐานที่แน่นอนในธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องที่มนุษย์จินตนาการคิดขึ้นมาเองเท่านั้น เมื่อน้ำได้สัมผัสกับข้อความที่เป็นบวก เช่น ความรัก ความเมตตา ความสุข กำลังใจ หรืออยู่ในที่ที่มีเสียงดนตรีไพเราะ ผลึกน้ำนั้นจะสวยงามและแข็งแรง แต่เมื่อน้ำได้สัมผัสกับข้อความที่เป็นลบ ผลึกน้ำนั้นจะเสียรูป บิดเบี้ยว หรือแตกสลายไม่เป็นรูปร่างไปเลย

        น้ำคือฐานกำเนิดของชีวิต ในร่างกายคนประกอบด้วยน้ำ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เมื่อคนอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมต่าง ๆ กันไป สมรรถภาพทางร่างกายของคนก็จะแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะนั้น ๆ ด้วยเหมือนกัน

        ช่วงปลายของศตวรรษที่ ๒๐ มีการศึกษาอย่างจริงจังในเรื่อง "ประสบการณ์ของคนใกล้ตาย" และ "การสะกดจิตเพื่อย้อนดูอดีตชาติ" การศึกษาเหล่านี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ให้ข้อมูลใหม่ ๆ แก่โลกมากมายเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด โลกในอีกมิติหนึ่ง กฎแห่งกรรม ตลอดจนสวรรค์และนรกที่ล้วนมีอยู่จริง เมื่อคนทำบาปหรือทำกรรมไม่ดีกับใครไว้ ถ้าไม่ได้รับผลภายในชาตินี้ ก็เป็นไปได้ว่าจะต้องไปชดใช้กรรมนั้นต่อในชาติหน้า และต่อ ๆ ไปจนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมนั้นหมด แม้ว่าคน ๆ นี้จะได้มาเกิดใหม่แล้วก็ตาม ชาติกำเนิดและวาสนาต่าง ๆ ของเขาก็เป็นผลมาจากกรรมที่เขาสั่งสมไว้ในชาติก่อนด้วย

        ความจริงที่ค้นพบนี้ตรงกับคำโบราณของจีนที่ว่า "ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ถ้ายังไม่ได้รับตอนนี้ ก็แปลว่ายังไม่ถึงเวลา ถึงเวลาเมื่อไร ต้องรับไปทั้งหมดทั้งสิ้น" อันนี้ไม่ใช่คำสอนที่คิดขึ้นเอาเองจากการจินตนาการเลย ในประวัติศาสตร์และในชีวิตจริงก็มีตัวอย่างให้เราเห็นเป็นประจักษ์อยู่แล้วมากมาย สอดคล้องกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีการค้นพบในปัจจุบันนี้

        ทำไมเมื่อคนทำชั่วแล้วต้องได้รับผลไม่ดี หรือว่าในโลกแห่งวัตถุที่เราเห็นอยู่นี้มีมือที่เรามองไม่เห็นกำลังจัดการกับสิ่งทั้งหลายอยู่? คนโบราณว่า "ตาข่ายแห่งฟ้านั้นกว้างใหญ่ไพศาล แม้เบาบางห่างถี่ก็ไม่มีที่รั่วไหล" หรือ "แม้นว่าดีชั่วไม่มีผล โลกและสวรรค์คงมีแต่ความเห็นแก่ตัว" วิถีแห่งจักรวาลเป็นไปตามกฎเกณฑ์อันยุติธรรม จึงจะเป็นหลักประกันให้โลกทางวัตถุทั้งหลายมีความสมดุลและตั้งอยู่ได้ ดังนั้น คนดีจึงต้องได้รับผลดี คนชั่วต้องได้รับผลชั่ว

        ทำไมต้องให้คนที่ทำชั่วได้รับภัยภิบัติและทุกข์ทรมานด้วยล่ะ? ทำไมต้องให้คนทำดีได้ดี ไม่ให้คนทำชั่วได้ดีล่ะ? นี่คือการเปิดเผยสัจจะที่เป็นจริงยิ่งกว่าสิ่งใด กล่าวคือเบื้องหลังของโลกแห่งวัตถุมีกฎเกณฑ์หรือคุณสมบัติที่แน่นอนดำรงอยู่ และความดีหรือกุศลก็มีความผสานสอดคล้องไปกับคุณสมบัติข้อนี้พอดี จึงดำรงอยู่ได้ยาวนาน ในขณะที่ความชั่วหรืออกุศลจะขัดแย้งกับกฎของจักรวาลหรือวิถีแห่งธรรมชาติ (เต๋า) จึงแตกสลายได้ง่าย ดังที่เหลาจื่อ (老子 ศาสดาแห่งศาสนาเต๋า) ได้กล่าวไว้ว่า "วิถีแห่งฟ้านั้นไร้ความลำเอียง และจะอยู่เคียงข้างคนดีเสมอ"

        วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยึดถือกันมากในเรื่องหลักฐานที่พิสูจน์ได้ เมื่อมีหลักฐานข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากแล้ว คนจึงจะยอมรับและเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ความเชื่อตามจารีตที่มีมาอย่างยาวนาน ถูกบดบังด้วยข้อจำกัดของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ ทำให้ความจริงบางอย่างถูกตีทิ้งและเพิกเฉย กฎแห่งกรรมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน 

        ถึงแม้ว่าในระยะเวลานับร้อยนับพันปีมาแล้วที่ความเชื่อในกฎแห่งกรรมจะได้รับการสืบต่อกันมาจากปากต่อปากและแพร่หลายอยู่ในวิถีแห่งชาวบ้าน แม้ว่าจะมีบันทึกเรื่องจริงเป็นหลักฐานในหนังสือหลายเล่ม เช่น "มรรควิธีสร้างกุศลปัดเป่าภัย" หรือ "บันทึกเรื่องกรรมอันเป็นเหตุ" เป็นต้น ซึ่งสามารถยืนยันความจริงในกฎแห่งกรรมว่ามีจริงได้ แต่กลไกการทำงานของการสร้างผลแห่งกรรมในระหว่างนั้นเป็นอย่างไรไม่มีปรากฏ จึงยากที่จะทำให้คนยอมรับและเข้าใจได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น จึงไม่มีใครเห็นถึงกระบวนการทำงานของกรรม เรารู้ได้ก็แต่ผลที่ได้รับเท่านั้น

        ศาสตราจารย์สตีเฟ่น โพสต์ (Stephen Post) ภาควิชาจริยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ (Case Western Reserve University) ของอเมริกา ได้ร่วมกับนักเขียนนวนิยาย จิล นายมาร์ค (Jill Neimark) ทำการศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง "การให้" และ "ผลที่ได้รับ" ของพฤติกรรมที่เป็นความดีของมนุษย์ ว่าเกิดขึ้นในลักษณะอย่างไร โดยใช้แนวทางการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่เป็นจุดเริ่มต้น

        ผู้วิจัยได้กำหนดตัวชี้วัดอย่างละเอียดและติดตามผลเป็นเวลายาวนานจากคนกลุ่มหนึ่งที่มีความยินดีใน "การให้" อยู่เสมอ จัดแบ่งประเภทของ "การให้" และ "ผลที่ได้รับ" นำมาทำการวิเคราะห์ทั้งด้านวัตถุและชีวภาพ จนพบว่า "การให้" ก่อให้เกิด "ผลต่อการรักษาโรค" และมีผลต่อ "ดัชนีวัดความสุข" ได้ด้วย กล่าวคือ คนที่มีนิสัย "ใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น" พฤติกรรมของเขามีผลอย่างลึกซึ้งต่อสภาวะของจิตใจและความแข็งแรงร่างกายของตนเอง รวมทั้งความสามารถทางสังคม ความสามารถในการตัดสินใจ อารมณ์ในเชิงบวก เป็นต้น ตัวชี้วัดเหล่านี้จะพัฒนาในทางที่ดีขึ้นทั้งหมด

        แม้แต่การยิ้มให้ผู้อื่นอย่างจริงใจ หรือเล่นมุขตลกแสดงอารมณ์ขันอย่างเป็นมิตรสักเรื่องหนึ่ง พฤติกรรมง่าย ๆ เท่านี้ก็สามารถทำให้สารภูมิต้านทานในน้ำลาย (immunoglobulin) มีความเข้มข้นสูงขึ้นแล้ว 

        เมื่อพวกเขาสรุปข้อมูลจากงานวิจัยกว่าร้อยโครงการในมหาวิทยาลัยหลัก ๆ ของอเมริกาสี่สิบกว่าแห่ง ผนวกกับข้อมูลจากการติดตามผลจากกลุ่มทดสอบเป็นเวลายาวนาน พวกเขาได้นำเสนอข้อมูลที่น่าตื่นเต้นแก่โลกว่า พฤติกรรมที่ดีของคน เช่น การชมเชย การให้อภัย ความกล้าหาญ อารมณ์ขัน การให้เกียรติ ความเห็นใจ ความซื่อสัตย์ เป็นต้น "การให้" ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า "ระหว่าง การให้ และ การได้รับผล มีการเปลี่ยนแปลงทางพลังงานอย่างลึกลับและพิสดาร กล่าวคือ ในขณะที่คน ๆ หนึ่งกำลังมีพฤติกรรม "การให้" นั้น พลังงานของ "การได้รับผล" ก็กำลังย้อนกลับเข้าหาคนผู้นั้นผ่านทางรูปแบบต่าง ๆ อย่างหลากหลาย เพียงแต่ในสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้วเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวเลย...

        นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้านประสาทชีวเคมี (Neurochemistry) ก็ค้นพบปรากฏการณ์บางอย่างจากงานวิจัย เมื่อมนุษย์มีความคิดในทางดีหรือคิดในเชิงบวก ร่างกายจะหลั่งสารกระตุ้นประสาทที่ทำให้เซลล์แข็งแรงขึ้นออกมา เซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะตื่นตัวขึ้นด้วย ทำให้คนไม่ป่วยง่าย ถ้ามีความคิดในทางดีอยู่เสมอเป็นปกติ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะแข็งแรง แต่ถ้าคิดในทางไม่ดีหรือคิดในเชิงลบ ก็จะทำให้ระบบประสาททำงานไปอีกทิศทางหนึ่ง นั่นคือระบบที่เป็นลบจะถูกกระตุ้นให้ทำงาน และระบบที่เป็นบวกจะถูกยับยั้งเอาไว้ การไหลเวียนที่ดีตามสมรรถภาพของร่างกายจะถูกทำให้เสียหาย

        จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เหล่านี้ กฎแห่งกรรมได้มีอิทธิพลต่อการให้คุณค่าในชีวิตและอยู่เหนือกว่าการชี้นำโดยความเชื่อแบบเทวนิยมไปเสียแล้ว อีกทั้งมนุษยชาติทั้งมวลล้วนพัฒนาและดำรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์พื้นฐานอันนี้ทั้งสิ้น งานวิจัยเหล่านี้ยังเป็นการพิสูจน์โดยอ้อมสำหรับความเชื่อของคนโบราณเกี่ยวกับผลของการทำดีทำชั่วด้วย มันยืนยันว่าความเชื่อแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพียงความคิดที่คับแคบและโง่เขลาแต่อย่างใด แต่มันคือรากฐานในการเข้าใจชีวิตของหมู่ชนจำนวนมากในสมัยอดีตเลยทีเดียว

        ความเชื่อในเรื่องกรรมยังสามารถอธิบายได้ด้วยว่าความคิดของมนุษย์นั้นเปิดกว้างและมีภูมิปัญญาอย่างไร จิตใจที่เปิดกว้างทำให้เรามีชีวิตที่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อสิ่งที่ยังไม่รู้ เพราะความเชื่อแบบนี้โดยตัวมันเองก็คือท่าทีที่เปิดกว้างอย่างหนึ่ง คนโบราณจึงไม่อาจใช้ความคิดแบบสุดโต่งได้ตามใจชอบ และไม่ปิดกั้นทางออกของตนเอง ในโลกของวิธีคิดแบบนี้เราจึงสามารถหลุดพ้นออกจากกรอบกรงของจิตที่เลวได้ไม่ยากนัก 

        ก็เหมือนกับคำกล่าวในตำราแพทย์แผนจีนโบราณที่ว่า "รักษาคุณงามความดีในใจไว้ สิ่งชั่วร้ายก็จะไม่มาแผ้วพาน" ชีวิตก็จะแข็งแรง อายุยืน เป็นอยู่ผาสุก สุดท้ายนี้ขอให้เราทั้งหลายจงจดจำไว้ว่า อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงทำ อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องดีเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงไม่ทำ


รวบรวมและเรียบเรียงโดย 京博国学
ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20170913A00WUP00

22 ก.ย. 2560

ความงมงายต่อพระพุทธเจ้า



        คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะทำอะไรก็หวังว่าจะมีทางลัด คืออยากได้ประโยชน์แต่ไม่อยากลงทุนลงแรง ไม่อยากเสียเวลาไม่อยากลำบาก ทางลัดที่ว่านั้นเป็นอย่างไรล่ะ?

        หลายคนพอคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระศากยมุนีศาสดาเจ้า ก็จะคิดไปว่า ในเมื่อธรรมะของพระองค์นั้นดีเลิศอย่างยิ่ง จะต้องสามารถคุ้มครองเขาให้แคล้วคลาดจากเคราะห์กรรมได้ หรือทำให้ร้ายกลายเป็นดีได้อย่างแน่นอน ดังนั้น ทุกวันนี้จึงกลายเป็นกระแสไปเสียแล้ว คือผู้คนพากันไปวัดเพื่อจุดธูปเทียนกราบไหว้พระพุทธเจ้ากันมากมาย 

        สหายเอย หากมีเวลาก็ลองแวะไปเที่ยววัดดูบ้างเถิด ก็จะเห็นทีเดียวว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็มีคนเข้าออกวัดอยู่เสมอ ผู้คนจอแจพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา ทั้งจุดธูปเทียน บริจาคให้ทาน กราบไหว้ ขอพร เสี่ยงทาย ฯลฯ บางคนมาเพื่อขอให้พระคุ้มครองปัดเป่าเภทภัย บางคนมาเพื่อขอให้โชคดีมีลาภไปตลอด บางคนมาเพื่อขอให้ได้ยศได้ตำแหน่ง มีกระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำทุจริตแล้วมาขอให้พ้นจากความผิดไม่ต้องติดคุกติดตาราง ขอให้ชีวิตร่ำรวยรุ่งเรืองเฟื่องฟูไปตลอดกาลนาน อะไรที่ใหญ่ ๆ โต ๆ ในโลกทั้งหลายแหล่ก็เอาหมด ขอกันตะพรึดตะพรือ

        พระพุทธเจ้าไม่ใช่เทพไม่ใช่เซียน และไม่ใช่พระเจ้าผู้กอบกู้โลก พระองค์เป็นผู้รอบรู้ แต่ไม่ใช่ผู้ดลบันดาลสรรพสิ่ง

        ในโลกนี้มีคนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยให้เราหลุดพ้นจากห้วงทะเลแห่งทุกข์ได้ นั่นก็คือตัวเราเอง เป็นตัวของเราเองกับดวงจิตเดิมที่มีปัญญาเท่านั้นจะทำได้

        พุทธคืออะไร พุทธก็คือผู้ที่ตื่นรู้ คือผู้ที่เข้าใจสัจจะของชีวิตและจักรวาลอย่างถ่องแท้ คือผู้มีจิตใจอันประกอบด้วยปัญญาอันยิ่ง

        พุทธเป็นครูที่ดีและเป็นมิตรที่ชี้ประโยชน์แก่เรา คือพ่อผู้เมตตาและพี่ชายที่เอื้ออาทร พุทธคือท่าน พุทธคือเรา พุทธคือเขา พุทธคือเราทุก ๆ คน

        พุทธจะใคร่ครวญชีวิตไปพร้อม ๆ กันกับเรา พุทธจะแสวงหาสัจจะของจักรวาลไปด้วยกันกับเรา

        พุทธคือผู้ที่ชี้ทางออกจากกิเลสอันเศร้าหมองแก่เรา ขอเพียงแต่เราปฏิบัติตามคำสอนอันเปี่ยมเมตตาของพุทธ ก็จะสามารถแก้ไขเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ เมื่อต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากก็สามารถคลี่คลายให้เป็นความผาสุกเบิกบานได้

        ขอเพียงมีพุทธในใจ พุทธก็จะอยู่ในทุกที่ ขอเพียงมีพุทธในใจ พุทธก็จะมีอยู่ในทุกเมื่อ

        การเรียนรู้ในพุทธเป็นวิชาที่เน้นที่การปฏิบัติจริงอย่างยิ่ง หากจะถามว่าการเรียนรู้ในพุทธมีเคล็ดลับอะไร เคล็ดลับที่ว่าก็คือการปฏิบัติให้รู้จริงด้วยตนเอง

        เคล็ดลับของการเรียนรู้ฝึกปฏิบัติในพุทธก็คือการพากเพียรทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทีละเล็กทีละน้อยในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง 

        หาใช่การละเลยต่อการทำชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ หาใช่การทำปากอย่างใจอย่าง หาใช่การเอาแต่พูดแล้วไม่ทำจริง

        พุทธไม่ได้อยู่บนสวรรค์ พุทธไม่ได้อยู่ในวัดวาอาราม พุทธอยู่ในใจของเราทุกคน

        การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การทำเพื่อให้ผู้อื่นดู การอ่านพระคัมภีร์ก็ไม่ใช่เกมทางภาษาที่ทำให้ดูลึกซึ้งสูงส่ง การที่สามารถเอ่ยอ้างข้อความบางตอนจากพระคัมภีร์ได้ก็ไม่ใช่เพื่อแสดงภูมิรู้ให้ผู้อื่นเห็น เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรม ไม่ได้ท่องคัมภีร์เพื่อให้ได้ชื่อว่าท่องได้


        พุทธธรรมได้บันทึกถึงการแสวงหาและใคร่ครวญของพระพุทธเจ้าต่อกฎเกณฑ์ของชีวิต ของจักรวาล และของธรรมชาติ พุทธธรรมได้ให้วิธีการแก่สัตว์ทั้งหลายในการพิจารณาสัจจะแห่งจักรวาล บุกเบิกทางปัญญา และบรรลุแจ้งแห่งภาวะในจิตของตนเอง

        เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมคือการหาหนทางกลับสู่ฐานจิตเดิมอันสงบ สว่าง และมีปัญญาของเราเอง เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมก็เพื่อช่วยให้สัตว์ทั้งปวงสามารถบรรลุถึงความหลุดพ้นได้อย่างแท้จริง สามารถพ้นจากทุกข์และเป็นสุขอย่างแท้จริง

        พุทธอยู่ที่หุบเขา หุบเขานั้นก็คือใจของท่านเอง ทุกคนต่างก็มีองค์พระเจดีย์บนเขา ที่ปฏิบัติของท่านก็อยู่ในพระเจดีย์นั้นเอง จงอย่าลืมหนทางกลับสู่บ้าน จงอย่าหลงลืมตนเอง


เขียนโดย 佛子 วัดจี๋เล่อ ฮาร์บิน
ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20170906A00UKK00

12 ก.ย. 2560

เมื่อเจ็บป่วย เราจะสลายกรรมและสั่งสมกุศลได้อย่างไร



        เมื่อพบอุปสรรคจะเกิดปัญญา เมื่อพบวิบากร้ายก็จะได้เพิ่มฐานของการปฏิบัติธรรม ตัวอย่างเช่น ถ้าวันนี้เราป่วย มันไม่ใช่ว่าเราได้ความเจ็บไข้หรอก แต่เป็นการปล่อยความเจ็บไข้ออกมาต่างหาก อย่างไรน่ะหรือ? ถ้าเราไม่เคยทำเหตุของมันมาก่อน วันนี้เราก็จะไม่ป่วยเป็นโรคนี้หรอก โรคนี้มันสะสมอยู่ในตัวเราอยู่ก่อนแล้ว พอถึงวันนี้เมื่อเหตุนั้นสุกงอมได้ที่ ก็แสดงผลออกมาเป็นโรค หรือจะพูดอีกอย่างก็ได้ว่ากรรมนั้นให้ผลแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นการปล่อยโรคออกมา ไม่ใช่การเกิดของโรค กรรมที่เราทำ ณ ปัจจุบันนี้สิจึงจะเป็นเหตุ อันนี้จึงจะเรียกได้ว่า การเกิดของโรค แต่ถ้าวันนี้เรากำลังได้รับผลของการที่เราก่อโรคไว้แล้ว เรามีอาการเจ็บป่วย อันนี้เรียกว่าโรคนั้นมันถูกปล่อยออกมา

        ผู้ที่มีปัญญาจะกลัวการก่อกรรมชั่วใหม่ และไม่กลัวการรับผลแห่งกรรมที่ได้ทำไปแล้ว ผู้ที่ไม่มีปัญญาจะกลัวการรับผลแห่งกรรม แต่ไม่กลัวการก่อกรรมชั่วใหม่ เมื่อท่านได้กระทำเหตุแห่งกรรมใดลงไปแล้ว ในอนาคตย่อมต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างแน่นอน ผลแห่งกรรมที่ท่านได้รับในขณะปัจจุบันนี้ เกิดจากเหตุที่ท่านได้กระทำไว้แล้วในอดีต มันคือการสลายตัวของกรรม เป็นการใช้หนี้ เป็นการปล่อยโรค ขับไล่มาร มันเป็นเรื่องดีนะ

        แต่พวกเราที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ เวลาหว่านเพาะเหตุแห่งกรรมเลวนั้นมักไม่กลัว แต่พอถึงคราวต้องรับผลแห่งกรรมเลวกลับหวาดกลัว มันกลับหัวกลับหางกันอย่างนี้ ดังนั้น เมื่อเจ็บป่วยเป็นโรคขึ้นมา จงอย่ากลัว ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริงแล้วล่ะก็ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับอันสุดยอดเลยทีเดียว

        ข้อที่ ๑ ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาในวันนี้ แปลว่าวิบากกรรมเก่าของเรายังชดใช้ไม่หมด ยังใช้หนี้เก่าไม่หมด เราต้องสำนึกผิดต่อกรรมชั่วที่เคยทำมาทั้งหมดทั้งสิ้น โดยเฉพาะกรรมจากการทำร้ายชีวิตสัตว์ ด้วยการสำนึกผิดนี้ วิบากกรรมจะถูกสลายลงไปได้ เมื่อวิบากกรรมสลาย ผลแห่งกรรมก็จะจบสิ้นไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

        ข้อที่ ๒ การเจ็บป่วยต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้ากรรมนายเวรอย่างแน่นอน โอกาสที่จะได้ชดใช้หนี้มาถึงเราแล้ว เราไม่ควรจะต้องกลัว ควรที่จะเผชิญหน้ากับมัน พยายามแผ่เมตตาจิตไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้มาก ๆ เพื่อให้เขาเหล่านั้นยอมรับและพอใจ ก็จะเป็นการได้ใช้หนี้ให้เขาแล้ว 

        ข้อที่ ๓ โอกาสของการปฏิบัติธรรมมาถึงแล้ว จงใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เราสามารถบำเพ็ญจิตโพธิสัตว์ด้วยการเห็นประโยชน์ของผู้อื่นมาก่อนประโยชน์ตน ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นเพื่อสั่งสมจิตโพธิสัตว์ การปฏิบัติอย่างนี้นอกจากจะสามารถคลี่คลายกรรมและสั่งสมกุศลแล้ว ยังเป็นการชดใช้หนี้ และยังช่วยเพิ่มฐานของการปฏิบัติธรรมของเราเองขึ้นมาได้ด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องดี

        แต่หากเราไม่เข้าใจเหตุผลอย่างนี้ เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้น ใจก็คิดกังวลว่า "แย่แล้วเรา จะทำยังไงดี" ก็เท่ากับเป็นการสร้างกรรมใหม่อีก ต้องเข้าใจว่านี่คือผลของกรรม ถ้าเราไม่เชื่อกรรมก็เท่ากับเป็นอวิชชา เป็นมิจฉาทิฏฐิ เราจะกลัวสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว กลัวสัตว์ทั้งหลายจะมารบกวนทำร้าย แล้วหาทางออกด้วยการไปหาหมอดูให้ช่วย พวกนั้นก็ดีแต่พูดเดามั่วซั่ว "ท่านเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ในตัว..." ทำแบบนั้นแล้วก็เท่ากับเราได้ไปทำให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเพิ่มความพยาบาทชิงชังแก่เรามากขึ้น ยิ่งเพิ่มวิบากกรรมเลวของตนเองขึ้นไปอีก เสร็จแล้วก็ไปฆ่าสัตว์เพื่อเอามากินบำรุงร่างกาย ไปกินของที่ไม่บริสุทธิ์จากบาป ทำร้ายชีวิตสัตว์เพิ่มขึ้นไปอีก ยิ่งทำไปอย่างนี้ก็ยิ่งแย่ ต่อไปจะต้องได้รับเคราะห์กรรมมากยิ่งขึ้น



เขียนโดย 达真堪布
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170911/030999.htm

4 ก.ย. 2560

เลิกเสพยาได้ด้วยพลังแห่งธรรมะ



        ฉันชื่อจิ้งซิน (净心) อายุ ๔๘ ปี เกิดที่เมืองหนานชาง มณฑลเจียงซี ในครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานประจำกินเงินเดือน ในช่วงปี ๑๙๗๐-๑๙๗๙ พ่อแม่มีงานที่มั่นคง พี่ชายและพี่สาวทำธุรกิจ ครอบครัวจึงมีฐานะค่อนข้างดี ฉันเป็นน้องคนสุดท้องในบ้าน จึงได้รับความรักความเอ็นดูมากจากทุกคนในครอบครัว ช่วงนั้นฉันยังเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด ว่านอนสอนง่าย เรียบร้อยและน่ารัก คนแถวบ้านตั้งฉายาให้ฉันว่า คุณหนูหลินไต้อวี้ (ตัวละครเอกในนิยายคลาสสิคจีนเรื่องความฝันในหอแดง)

        ช่วงปี ๑๙๘๐-๑๙๘๙ ฉันเรียนจบมัธยมต้นแล้ว เป็นแฟนกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่บ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน เราฟังเพลงของเติ้งลี่จวินด้วยกัน คุยกันถึงกิมย้ง (金庸) ฉวงเหยา มีเรื่องคุยกันได้เยอะมากไม่มีเบื่อ เรามองอนาคตอย่างมีความหวังและสวยงาม ด้วยความที่ชอบอะไรตรงกันหลายอย่าง คบกันไม่นานก็ได้แต่งงาน สามีฉันออกไปทำงานรับจ้างขนส่งสินค้า ไปเหนือล่องใต้ ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองดี ครอบครัวฉันกลายเป็นที่อิจฉาของคนอื่น ฉันทำหน้าที่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว ตั้งหน้าตั้งตาเลี้ยงลูกสองคนอย่างเต็มที่

        เวลาผ่านไปเร็วมาก จนถึงปี ๑๙๙๔ หลังจากการพากเพียรสู้งานอยู่สิบกว่าปี ธุรกิจของสามีก็เติบโตขึ้นอย่างราบลื่น ฐานะครอบครัวก็ร่ำรวยขึ้น ลูกชายอายุ ๘ ขวบเข้าเรียนประถมแล้ว ลูกสาวอายุ ๕ ขวบก็กำลังจะเข้าโรงเรียน ครอบครัวเราสี่คนกำลังมีความสุข เป็นที่ชื่นชมยินดีของเพื่อนบ้านไปทั่ว

        และในปีนั้นเอง เคราะห์กรรมก็ทำให้ชีวิตฉันพลิกผันไปอย่างน่าใจหาย เพราะความที่คบเพื่อนไม่ดูให้ดีก่อน ทำให้ฉันหลงไปติดยาเสพติดเข้า ตั้งแต่นั้นมาก็เหมือนตกนรกหมกไหม้ มองย้อนกลับไปตอนนั้นแล้วรู้สึกสำนึกเสียใจจริง ๆ เจ็บใจมากที่ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่ความเสียใจก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

        ทีแรกฉันไม่รู้หรอกว่ามันคือยาเสพติด รู้แต่ว่าตอนเสพมันจะรู้สึกสบายตัวอย่างมาก เหมือนล่องลอยอยู่ในสวรรค์ เริ่มจากการสูบ และต่อมาเป็นการฉีดเข้าเส้น ทั้งเฮโรอีน ยาไอซ์ ยาอี ยาบ้า กัญชา ฉันเคยเสพมาหมด อันตรายของการเสพยาก็คือพอติดแล้วมันจะเลิกยากมาก เวลาต้องการเสพจะมีอาการน้ำตาไหล น้ำมูกไหล น้ำลายไหล ในกระดูกเหมือนมีมดกัดเป็นพันเป็นหมื่นตัว ทรมานมาก ที่ทรมานที่สุดคือใจ จิตใจมันจะทุกข์ทรมานสุด ๆ ถ้าไม่มียาให้เสพ ความรู้สึกนั้นมันสุดจะบรรยาย เหมือนตายดีกว่าอยู่ จริง ๆ แล้วสามีก็ไม่พอใจมากที่ฉันเสพยาและไม่อยากให้เสพเลย แต่พอเห็นสภาพที่ฉันต้องทุกข์ทรมานจนสิ้นหวังและอยากตาย กับความสงสารลูก ๆ ด้วย จึงจำใจยอมให้ฉันเสพต่อไป ค่าใช้จ่ายสำหรับยาที่ฉันเสพตกวันละประมาณ ๔๐๐ หยวน (ประมาณ ๒,๐๐๐ กว่าบาท) ถือว่าเป็นเงินเยอะมากในสมัยนั้น ฐานะครอบครัวต้องย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะเรื่องนี้ ช่วงนั้นฉันต้องทะเลาะกับสามีแทบทุกวัน

        เพราะการติดยา ฉันไม่มีแก่ใจจะดูแลลูกและงานในบ้านเลย บรรยากาศในบ้านเหมือนมีสงครามเย็น ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกกลัว ลูกชายค่อย ๆ เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นเด็กเงียบขรึมเก็บตัว กลายเป็นเด็กมีปมด้อย และค่อย ๆ ทำตัวเหินห่างจากแม่ไป นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรก็รู้สึกเจ็บปวดในใจมาก เจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถให้ชีวิตวัยเด็กที่อบอุ่นแก่ลูกได้ ฉันเป็นแม่ที่ให้ชีวิตที่ดีและมีความสุขกับลูกไม่ได้

        พ่อแม่และพี่ ๆ ก็ต้องมาเป็นทุกข์เพราะฉันด้วย พวกเขามีปากเสียงทะเลาะกับแม่สามีฉันด้วย พวกเขาโทษว่าเป็นเพราะสามีฉันยอมตามใจมากไปจนทำให้ฉันต้องติดยา ในที่สุดก็ถึงขั้นต้องหย่าร้าง ครอบครัวสุขสันต์จึงต้องจบสิ้นลงก็เพราะเหตุนี้

        การเสพยาเป็นโทษทั้งต่อตนเองและผู้อื่น มันเหมือนการก้าวสู่เส้นทางที่ไม่มีทางย้อนกลับ การเลิกยาเป็นเรื่องยากระดับโลก เวลาอยากยาขึ้นมา พี่ ๆ ทนเห็นฉันทุกข์ทรมานไม่ไหว ต้องจำใจยอมเอาเงินให้ฉันไปซื้อยาเสพ เงินที่แม่สะสมไว้ก็เหลือไม่มากแล้ว เรื่องของฉันกลายเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาของคนบ้านใกล้เรือนเคียงไปเสียแล้ว คุณหนูหลินไต้อวี้ในอดีต มาวันนี้ได้ตกต่ำจนกลายเป็นไอ้ขี้ยาไปเสียแล้ว

        โบราณว่าลูกสาวคือดวงใจของพ่อแม่ เพราะฉันติดยา แม่จึงเสียใจมาก แม่เคยเอาโซ่มาล่ามฉันเอาไว้ ขังเอาไว้สองอาทิตย์ พอปล่อยออกมาฉันก็ยังต้องเสพเหมือนเดิม แม่กลายเป็นคนอารมณ์รุนแรงมากขึ้นทุกที ด่าว่าฉันอยู่บ่อย ๆ ส่วนฉันนั้นนอกจากจะไม่สำนึกแล้ว ยังคิดย้อนไปโทษแม่อีกว่าเลี้ยงดูอบรมมาไม่ดีเอง หารู้ไม่ว่าที่แม่ด่าก็เพราะรู้สึกสิ้นหวังกับฉันจนไม่รู้จะทำอย่างไรได้แล้ว

        เพื่อให้ฉันกลับเนื้อกลับตัวได้ แม่เริ่มไปปฏิบัติธรรม กินเจ สวดมนต์ ไปตามวัดต่าง ๆ อธิษฐานขอพรจากพระ ขอให้เกิดปาฏิหาริย์กับฉัน จนถึงปี ๒๐๑๕ แม่ลาจากโลกไปด้วยความเสียใจตอนอายุได้ ๘๐ ปี แต่ยังดีที่ในบั้นปลายท่านได้วางใจเข้าสู่ธรรมะแล้ว มีศรัทธาตั้งมั่น ก่อนตายยังได้พระอาจารย์มาช่วยสวดมนต์ให้ ขอให้ดอกบัวแห่งธรรมของท่านจงสว่างไสวในแดนสุขาวดีด้วยเถิด

        อันที่จริง ในใจของคนติดยาทุกคนลึก ๆ แล้วล้วนมีความเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ไม่น้อย ฉันก็เหมือนกัน แม่ลาจากโลกไป บ้านแตกสาแหรกขาด พี่น้องกลุ้มใจ ลูก ๆ ผิดหวัง ทำให้ฉันอยู่อย่างไม่มีความสุขเลย ตอนที่แม่เสียชีวิต ฉันได้ยินว่าพระอาจารย์ที่มาสวดมนต์ให้ก็เคยติดยามาก่อน แต่เมื่อได้อบรมตนเองให้อยู่ในธรรมะ ท่านก็เลิกยาได้สำเร็จ คนในครอบครัวจึงคะยั้นคะยอให้ฉันลองดูบ้าง

        ปลายเดือนพฤษภาคมปี ๒๐๑๖ ฉันมาถึงวัดตงหลิน โดยมีพี่ชายและพี่สาวมาเป็นเพื่อน ณ ศาลาวัดอันเก่าแก่ สงบเงียบและน่าเคารพแห่งนี้ เหมือนมีพลังงานแผ่ซ่านออกมา ทำให้จิตใจที่สับสนวุ่นวายของฉันสงบลงได้ ชีวิตในวัดต่างจากที่ฉันคิดไว้อย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างมีความเป็นมิตรและเอื้ออาทร ไม่ได้มีความรู้สึกว่าคนเหล่านี้กำลังหลีกหนีจากโลกอย่างที่เคยคิดไว้เลย

        และก็บังเอิญจริง ๆ ฉันได้พบกับเพื่อนหลายคนที่ติดยามาเหมือนกัน พวกเขาก็หวังว่าจะมาอาศัยพลังแห่งธรรมะเพื่อขับไล่มารร้ายที่น่าชิงชังนี้ออกไปจากชีวิตเหมือนกัน พระอาจารย์ที่วัดเป็นผู้มีเมตตาอย่างมาก ไม่ได้เมินเฉยหรือรังเกียจพวกเราที่ดูเหมือนจะนอกคอกเลย แถมยังตั้งกลุ่มปฏิบัติธรรมพิเศษขึ้นให้พวกเราด้วย มอบหมายให้พระมาเทศนาให้พวกเราฟัง ถึงแม้ว่าพวกเราจะแต่งกายอย่างคนโลก ๆ ทั่วไป แต่ชีวิตในวัดก็ไม่ต่างอะไรจากนักบวชเท่าไร ลุกจากที่นอนตั้งแต่ตีสามกว่า ทำวัตรเช้า กินเจ ทบทวนธรรม กลางวันยังเดินกราบพระเจดีย์แบบธิเบต (เดินสามก้าวแล้วกราบหนึ่งครั้ง) ทีแรกมันก็ทำให้ร่างกายอ่อนเปลี้ยมาก แต่อดทนฝืนทำไปสักพักก็รู้สึกว่าร่างกายมีกำลังดีขึ้น โดยเฉพาะหลังจากรับศึลห้าแล้ว รู้สึกได้ถึงพลังอานิสงส์ ความศรัทธาค่อย ๆ หยั่งรากลงในจิตใจ ก่อให้เกิดพลังอย่างมหาศาล
ช่วงเวลานั้น ฉันได้เรียนรู้การสำนึกขอบคุณ สำนึกยอมรับผิด และมีจิตโน้มไปในบุญกุศล ความรู้สึกว้าวุ่นก็เบาบางลง อาการลงแดงอยากยาก็ลดจำนวนครั้งลง จนปัจจุบันก็ถือว่าเลิกยาได้แล้ว

        ฉันคิดว่าจะเลิกยาได้สำเร็จ ต้องมีปัจจัยหลักสามข้อคือ ความปรารถนาที่แรงกล้า แนวทางที่ชัดเจนแน่วแน่ และสภาพแวดล้อมที่ดี จะขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้

        ก่อนมาที่วัด หลาย ๆ คนรวมทั้งลูกชายฉันเองด้วย ไม่คิดว่าฉันจะทำได้ แต่ฉันคิดว่ามีคนที่ทำสำเร็จให้ดูแล้วเป็นตัวอย่าง คนอื่นทำได้ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ฉันจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ต่อให้ต้องเสียอวัยวะไปก็จะไม่ยอมทำให้คนที่เชียร์อยู่ต้องผิดหวัง ฉันจะไม่ยอมให้ยาเสพติดมันทำลายชีวิตฉันอีกต่อไปเด็ดขาด ตอนนี้ก็ได้ผลสำเร็จมาระดับหนึ่งแล้ว และมีความมั่นใจมากว่าจะเลิกได้อย่างเด็ดขาด ฉันไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง เวลาของชีวิตที่เหลือจากนี้ ฉันจะปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง สัญญาว่าจะเป็นคนดี จะเติมเต็มหน้าที่ของคนเป็นภรรยา เป็นแม่ให้สมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ จะหลีกห่างจากเพื่อนที่เสพยา ตัดขาดจากสิ่งแวดล้อมที่จะเหนี่ยวนำให้กลับไปหามันอีก ฉันคิดไว้ถึงขนาดที่ว่าจะอยู่ที่วัดสักหลายปี

        ขอบคุณวัดตงหลิน ขอบคุณทุกคนที่ห่วงใย และขอเตือนพี่น้องทั้งหลายให้รักใส่ใจในชีวิตให้มาก และจงอยู่ให้ห่างจากยาเสพติด


ผู้เขียน 净心
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170802/042458.htm

2 ก.ย. 2560

เงิน ๒๐ ล้านที่สูญไปทำให้ผมได้มาพบธรรมะ

อาหาวนักเลงขาโจ๋ในอดีต


        ผมมาจากเมืองฉงชิ่ง ปีนี้อายุ ๓๐ ปี อาชีพปล่อยเงินกู้ มีลูกสองคนแล้ว

        เหตุอะไรที่ทำให้ผมได้มาสัมผัสกับธรรมะของศาสนาพุทธน่ะหรือ?

        เหตุเพราะเมื่อปีที่แล้วผมถูกเพื่อนที่สนิทกันมากคนหนึ่งโกงเงินไป ๓.๘๕ ล้านหยวน (ประมาณ ๒๐ ล้านบาท) ตอนนั้นผมโกรธมาก จึงไปเล่นงานเขาเสียยับเลย ผลก็คือคนในครอบครัวเขาไปแจ้งตำรวจ ผมถูกตำรวจจับและถูกขังอยู่ในคุกหนึ่งเดือน ตอนติดอยู่ในคุกนั้น ผมคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ซวยขนาดนี้ ตอนนั้นผมหดหู่ใจจนเกือบจะเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว

        ผมเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ที่บ้านมีฐานะค่อนข้างดี พ่อแม่ก็เลี้ยงอย่างตามใจมาแต่เล็ก คงเป็นเพราะพวกท่านรู้สึกว่าไม่มีเวลามาดูแลให้ความอบอุ่นผมมากนัก จึงใช้เงินมาชดเชยให้เต็มที่ 

        ตอนเรียนมัธยมต้น เป็นช่วงวัยรุ่นที่เกเร ผมมักจะหนีเรียนไปเที่ยวเล่นเสมอ ส่วนใหญ่ก็ไปเล่นเกมในร้านเน็ต ขลุกอยู่กับพวกแกงค์วัยรุ่นขาโจ๋ทั้งวัน และช่วงนั้นผมยังเคยทำตัวชั่วขนาดเป็นหัวขโมยและตั้งตัวเป็นนักเลงเก็บเงินค่าคุ้มครองด้วย เรียนจบชั้นมัธยมต้นก็ไม่ได้เรียนต่อ ตอนนั้นผมออกมาเป็นลูกพี่ที่มีลูกน้องติดตามวันละสิบกว่าคนทุกวัน โลดแล่นอยู่ในแวดวงนักเลงประจำถิ่นนั่นแหละ  

        พ่อแม่เริ่มรู้สึกว่าถ้าปล่อยไว้ผมคงจะถลำลึกไปกว่านี้แน่ ดังนั้น ตอนผมอายุได้ ๑๗ ปี จึงถูกส่งไปหัดเป็นเซลล์ขายของอยู่กับอาที่เมืองหนานทง มณฑลเจียงซู สภาพแวดล้อมของชีวิตที่นั่นมันเปลี่ยนไปจากเดิมทั้งหมด เหมือนโลกใบใหม่ ผมซึ่งเคยเป็นลูกพี่ที่เรียนจบแค่มัธยมต้น พูดภาษาจีนกลางยังไม่ชัดเลย ต้องมากลายเป็นเด็กที่ขี้อายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แล้วผมก็ค่อย ๆ ชินและชักจะชอบชีวิตที่เรียบ ๆ และสงบแบบนี้ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

        จากนั้นผมก็มีแฟนและแต่งงานในเวลาต่อมา ช่วงนั้นเราได้เจอกับเรื่องเคราะห์ร้ายจนแทบจะเสียผู้เสียคนไปเลย เรื่องมีอยู่ว่า ในปี ค.ศ. ๒๐๐๙ ผมถูกเพื่อนที่ฉงชิ่งคนหนึ่งชวนไปเป็นเซลล์ด้วยกันที่ฝูเจี้ยน ตอนนั้นเราต้องออกไปลุยงานกันอย่างหนักทุกวัน หลังจากที่อดทนสู้งานอยู่นานเป็นเดือน ในที่สุดก็ค่อย ๆ สร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้

        แต่ความยากลำบากในปีนั้นก็ยังไม่ได้ทำให้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่าไร กลับกลายเป็นว่ามีนิสัยเสียอย่างใหม่เริ่มเพาะตัวขึ้นมาอีก ช่วงตรุษจีน ตอนกลับบ้านที่ฉงชิ่ง เด็กหนุ่มที่ย่ามใจว่าประสบความสำเร็จแล้วอย่างผมก็เลยมือเติบซื้อของฝากของขวัญกลับบ้านมาเพียบ เป็นเงินนับแสนหยวน แถมยังเลี้ยงดูปูเสื่อเพื่อนฝูงที่บ้านเกิดอย่างสุรุ่ยสุร่ายอีก 

        ช่วงนั้นความโลภในวัตถุของผมมันพองโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วทีเดียว

        พอกลับมาทำงานที่ฝูเจี้ยนอีกครั้ง เพื่อที่จะสนองตอบกิเลสโลภของตัวเอง และเพื่อให้ธุรกิจคล่องตัวขึ้น ผมขายมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่อยู่กันมานานออกไป ใช้เงินที่เหลืออยู่ประมาณ ๓ แสนกว่าหยวน (ประมาณ ๑.๕ ล้านบาท) ซื้อรถยนต์มาคันหนึ่ง

        ธุรกิจที่ผมทำก็ดีวันดีคืน ในปี ค.ศ. ๒๐๑๐ มีโรงงานมาขอให้ผมช่วยขายของให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โอกาสทางการค้ามากมายหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

        พอถึงปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ผมเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพแล้ว พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนลงทุนด้วยกัน เราจึงเปิดบริษัทปล่อยสินเชื่อขึ้นที่ฉงชิ่ง บ้านเกิดของผมเอง หลังจากเปิดบริษัทสองปีแรก กิจการก็ไม่เลวนัก ชีวิตในทางวัตถุของผมก็ยิ่งอู้ฟู่ขึ้นไปอีก คราวนี้ผมซื้อรถหรูรถซิ่งมาขับเล่นเลย

        แต่ในปีที่สามเกิดวิกฤติทางการเงิน ธุรกิจตกต่ำลงอย่างหนัก มันซบเซาสุด ๆ เงินที่ปล่อยกู้ไปเรียกเก็บคืนมาไม่ได้เลย แถมยังมีเรื่องเงินยืม ๓.๘๕ ล้านที่เพื่อนไม่ยอมคืนให้อีก เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นลึก ๆ ในใจบ้างแล้ว


        ช่วงที่ติดอยู่ในห้องขัง มีคน ๓๐ กว่าคนถูกขังรวมกันอยู่ในห้องแคบ ๆ ขนาด ๕๐ ตารางเมตร มีช่องหน้าต่างเล็ก ๆ อยู่แค่ช่องเดียว กิน ขี้ เยี่ยวก็อยู่ในนั้นทั้งหมด คนที่เข้ามาใหม่ต้องทนนอนข้างส้วม ทั้งเหม็นทั้งสกปรก มันไม่ใช่ที่อยู่สำหรับมนุษย์เลย อยู่ในนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องราวข้างนอกเลย เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก มันทุกข์ทรมานอย่างมาก จนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเลยทีเดียว

        ผมติดอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนกับอีก ๗ วัน กล้ำกลืนฝืนทนจนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างยากเย็น ในที่สุดผมก็ถูกปล่อยตัวออกมา พอออกมาแล้วก็รู้สึกเลยว่าชีวิตมันดูว่างเปล่ายังไงไม่รู้ หลังจากผ่านความมืดมนมาเดือนกว่า เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าชีวิตเหมือนเสียศูนย์ไปแล้ว


        ช่วงนั้นเอง มีเพื่อนคนหนึ่งชวนผมไปฟังธรรม ทำให้ได้ไปฟังพระอาจารย์ท่านหนึ่งเทศน์ ท่านพูดถึงเรื่องกรรม ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจอะไรหรอก แต่ก็อยากรู้จริง ๆ ว่าการที่ผมต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้มันเกิดจากกรรมอะไร

        ดังนั้น หลังจากเทศน์จบผมก็เข้าไปถามพระอาจารย์ เล่าให้ท่านฟังถึงเรื่องของผม พระอาจารย์ก็ถามผมว่า "เขาทำเรา? หรือเราทำตัวเราเอง?" ผมงงจนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร พระอาจารย์ก็เลิกคิ้ว ยกฝ่ามือขึ้นแล้วตีลงมาที่หัวผม การตีครั้งนั้นมันเหมือนได้กระเทาะใจผมให้เปิดออก พระอาจารย์ก็ยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า "ไม่ใช่เขามาโกงเธอหรอก แต่เธอถูกความขี้โลภของตัวเองหลอกต่างหาก เธออยากได้ดอกเบี้ย ส่วนเขาก็อยากได้เงินทุน" ผมรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นรดลงที่หัว มันรู้ตัวตื่นขึ้นมาในทันทีทันใด


        ผมติดตามฟังธรรมจากพระอาจารย์อีกหลายครั้ง ได้รู้จักกับรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยฉงชิ่งคนหนึ่ง และได้ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายปฏิบัติธรรมที่วัดตงหลินจากรุ่นพี่คนนี้ด้วย

        ผมกลับมาปรึกษากับครอบครัวที่บ้าน ขอไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรมกับรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยอีก ๘ คน ทีแรกก็กะว่าจะไปลองเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมดูบ้างเท่านั้น แต่พอมาถึงที่วัดตงหลินแล้วจึงพบว่ามีความรู้มากมายและได้ประสบการณ์ที่ดีอย่างมาก

        ตอนมาถึงวัดตงหลินแรก ๆ นั้น ยังปรับตัวไม่ทัน ปัญหาที่หนักที่สุดของผมไม่ใช่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกอะไรหรอก แต่เป็นเรื่องที่ต้องตื่นมาทำวัตรตั้งแต่ตีสี่ครึ่งนี่แหละ

        ผมเคยชินกับการนอนดึกตื่นสายมานานหลายปี กลางคืนเป็นแมวตาค้างกลางวันเป็นหมีแพนด้าตาดำอย่างผม ปุบปับต้องมาใช้ชีวิตในวัดที่ต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึง ดับไฟนอนตั้งแต่สามทุ่ม มันปรับตัวไม่ทันจริง ๆ แต่ก็แปลก หลังจากผ่านไปสามวันก็ค่อย ๆ ชินขึ้นมาบ้าง เวลานี้ผมเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง มันเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา


        เวลากินอาหารครั้งแรกที่วัดทำให้ผมรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นการกินที่เรียบง่ายและประหยัดอย่างไม่น่าเชื่อ ต่างจากการกินข้าวโดยปกติของเราอย่างสิ้นเชิง คือปกติเราจะกินกันชนิดที่มีอาหารเต็มโต๊ะและสิ้นเปลืองมาก ผมไม่คิดเลยว่าจะมีการกินอาหารแบบนี้ได้ด้วย

        หลังรับประทานอาหารผมอาสาไปช่วยล้างจานในครัว การทำงานที่นั่นทำให้ผมประทับใจอย่างมาก อาสาสมัครและผู้มาเข้าค่ายทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะช่วยกันทำงาน ต่างจากคนที่ผมเคยพบเจอข้างนอก ส่วนตัวผมนั้นเมื่อตอนอยู่บ้านก็มีแต่คนทำให้ ทั้งซักผ้า ทำกับข้าว ล้างจาน ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องทำงานพวกนี้ด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าการไปล้างจานที่ครัวจะทำให้ผมเหงื่อออกเต็มหลังทุกครั้ง แต่พอทำงานเสร็จแล้วจะรู้สึกอิ่มเอมใจและมีความสุขทุกครั้ง

        ในวันที่สามเราได้ไปร่วมงานกับกลุ่มช่วยสวดมนต์ให้แก่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย พอดีมีผู้ป่วยชราสองคนที่นอนรอวันตายอยู่บนเตียง พวกท่านก็ยังพยายามสวดมนต์อยู่อย่างไม่ลดละ ไม่รู้ทำไม ภาพที่เห็นทำให้ผมนิ่งอึ้งและน้ำตาไหลเอ่อออกมาอย่างไม่รู้ตัว

        หัวข้อหลักของค่ายปฏิบัติธรรมครั้งนี้คือ ชีวิตคนคู่ในศาสนาพุทธ เนื้อหาหลักเกี่ยวกับศีลข้อสามคือการไม่ทำผิดประเวณี เราฟังธรรมจากพระอาจารย์และฆราวาสหลายท่าน ผมเอามาคิดเทียบกับประสบการณ์ของตัวเองแล้วเข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่าการผิดศีลข้อสามมันน่ากลัวอย่างไร จึงตัดสินใจว่าจะตั้งใจศึกษาและปฏิบัติศีลให้ดี และต่อไปนี้จะพูดจะทำอะไรกับใคร ที่ไหน เมื่อไร ก็ต้องสังวรรู้ตัวอยู่เสมอ

อุบาสกจิ้งหาว

        วันที่สี่ของค่ายมีพิธีรับศีลห้าและปวารณาตัวต่อพระรัตนตรัย โดยพระอาจารย์ใหญ่มาเป็นประธานในพิธีด้วยตนเอง ทันทีที่ทราบเรื่องนี้ผมก็สมัครเข้าพิธีอย่างไม่ลังเลใจเลย และก็ได้รับการตั้งชื่อทางธรรมเป็นครั้งแรกว่า 净豪 (จิ้งหาว หมายถึง บริสุทธิ์และเด็ดเดี่ยว) ในคำสอนของท่านเหลี่ยวฝานกล่าวไว้ว่า "เมื่อวานก็ให้มันตายไปเมื่อวาน วันนี้ก็ให้มันเกิดใหม่วันนี้" ผมได้เกิดใหม่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว

        ย้อนกลับไปดูชีวิตที่ผ่านมา ๓๐ ปีของตัวเอง ผมหวังว่าทุกท่านจะไม่เป็นอย่างผมในอดีต ที่มุ่งเอาแต่ไล่ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ ดังที่ในคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสอนไว้ว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงมายา เป็นฟองน้ำ เพียงสัมผัสโดนเข้ามันก็แตกสลายไป ผมจะพากเพียรในการปฏิบัติธรรม จะบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมที่ได้ร่ำเรียนนี้ให้สืบทอดต่อไป และให้คนรอบข้างได้เรียนรู้พุทธธรรมไปด้วย

        ผมจะพากเพียรสร้างเสริมศรัทธาตั้งมั่น สั่งสมกุศล จนกว่าจะถึงวันที่ได้ไปสู่แดนสุขาวดีของพระพุทธเจ้า อมิตาพุทธ!


เขียนโดย 净豪
ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20170829A0FCU100

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...