26 พ.ค. 2561

ฆ่าความขุ่นข้องขัดเคือง แค่ความขอบคุณ



        สำนวนจีนมีคำกล่าวว่า "บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ" แต่คนส่วนใหญ่มักจะจดจำแต่บัญชีหนี้แค้น ไม่จดจำหนี้บุญคุณ คนที่จดจำบุญคุณของผู้อื่นได้มีน้อยกว่าคนที่จดจำความแค้น เป็นดั่งที่โบราณว่าไว้คือ "ใจมนุษย์นั้นตะกละยิ่งกว่างูกลืนช้าง" หากใครมาทำดีต่อเรานิดหน่อย เราก็อยากให้เขาทำให้เรามากขึ้นอีก หรือมีใครให้เรายืมเงินแล้ว เรากลับรู้สึกว่าไม่มากพอ และไปหาว่าเขาขี้เหนียวเสียอีก

        ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นคนไม่รู้จักความกตัญญู คิดแต่ว่าคนอื่นต้องให้อะไรแก่เรา ไม่เคยคิดจะตอบแทน แถมยังอยากได้อีกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักพอ นอกจากจะชิงชังคนที่ไม่ยอมให้สิ่งดี ๆ แก่เราแล้ว ยังไม่พอใจคนที่เคยช่วยเหลือเราอีกด้วย หาได้มีความรู้สึกถึงความขอบคุณเลย ผู้ที่มีจิตใจแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า คนอื่นมาทำดีกับเรานั้นก็สมควรอยู่แล้ว พ่อ แม่ พี่ น้องทำดีกับเรานั้นก็ถูกต้องแล้ว หรืออาจจะคิดไปถึงขั้นที่ว่าคนเขามาช่วยเรา เขาก็จะได้ความสุขไปด้วย ดังนั้นเขาทำดีกับเราก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าคนอื่นเริ่มไม่ดีกับเราแม้เล็กน้อย เราก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที

        ผู้ที่ไม่รู้จักมีใจกตัญญู ไม่ว่าพบกับใครหรือพบกับเหตุการณ์อะไรก็มีแต่ความชิงชัง ความไม่พอใจ วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสก็จะบ่นว่า "แดดแรงขนาดนี้ ร้อนจะแย่แล้ว ทำไมฝนไม่ตกลงมาบ้างนะ" พอเป็นวันที่ฝนตกก็บ่นอีกว่า "หนาวไปแล้ว ทำไมไม่มีแดดบ้างนะ" ต่อให้อากาศสดใสดีตลอดทั้งปี ก็ยังบ่นได้อีกว่าไม่มีฤดูกาลบ้างเลย คนแบบนี้ไม่เคยพอใจอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อม ผู้คน ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครหรือเรื่องใดเลยที่เขาควรจะรู้สึกขอบคุณ เขาจึงจมอยู่แต่กับอารมณ์ที่ไม่พอใจ

        ดังนี้ ผู้ที่ไม่รู้จักความขอบคุณจะไม่มีวันรู้สึกพอ จะมีความไม่พอใจผู้อื่นอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรพยายามอย่าให้ความรู้สึกไม่พอใจแบบนี้เกิดขึ้นในจิตใจ ถ้ามันมีเกิดขึ้นก็ต้องรีบหาทางสลายมันทิ้งไปเสีย อย่าปล่อยให้มันก่อผลเสียหายต่อความสงบในใจของเราได้

        วิธีสลายความไม่พอใจหรือความขัดเคืองที่ดีที่สุดคือ การมองผู้คนหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยมุมมองของความรู้สึกขอบคุณให้มาก ๆ ชีวิตเราไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง ดังนั้น การมีชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่ข้าวสักหนึ่งก้อน น้ำสักหนึ่งคำ กระทั่งอากาศที่เราหายใจสักหนึ่งลมเข้าออก ก็ควรต้องรู้สึกขอบคุณ ทำได้อย่างนี้แล้วความรู้สึกไม่พอใจก็จะลดลงหรือสลายไปได้

        คนผู้หนึ่งจะรู้สึกพอหรือไม่ เป็นสุขหรือไม่ หาได้ขึ้นอยู่กับว่าเขามีเท่าไร หรือผู้อื่นปฏิบัติต่อเขาอย่างไร สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจของเขาและมุมมองที่เขามีต่อสิ่งต่าง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา" ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ใจเป็นใหญ่ ใจประเสริฐที่สุด ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ หากเราสามารถรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ มีใจที่รู้พอ ก็จะรู้สึกผาสุกกับชีวิตได้ ต่อให้ไม่มีอะไรเลย แต่ก็พอใจในน้ำทุกคำที่ได้ดื่ม ข้าวทุกก้อนที่ได้กลืน อากาศทุกลมเข้าออกที่ได้หายใจ หากรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งเหล่านี้ได้ ก็สามารถอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขได้ทุกวัน


ที่มา http://new.qq.com/omn/20180524/20180524B0YQGM.html
โดย 法侣 (สหายธรรม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...