31 พ.ค. 2561

เกิดเป็นมนุษย์นั้นไม่ง่าย แค่ ๐.๐๑ เปอร์เซ็นต์

        เมื่อมนุษย์แหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมาย มักจะเกิดความรู้สึกว่าเราเป็นแค่จุดเล็ก ๆ กระจ้อยร่อยในจักรวาล แต่เวลาที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันในโลกของการงานและเศรษฐกิจ เราก็มักจะหลงลืมความรู้สึกแบบนั้นไป

        เมื่อเร็ว ๆ นี้มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า ประชากรมนุษย์โลกทั้ง ๗,๖๐๐ ล้านคนนั้นคิดเป็นเพียงร้อยละ ๐.๐๑ ของมวลสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก ...มนุษย์นี้มันช่างกระจ้อยร่อยจริง ๆ

ศ. รอน มิโล
        รายงาน "การสำรวจมวลสิ่งมีชีวิตบนโลก" ฉบับนี้ จัดทำโดยทีมงานวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์รอน มิโล (Ron Milo) แห่งสถาบันวิจัยไวส์มาน (Weizmann Institute of Science) ใช้เวลาในการศึกษา ๓ ปี และเรียบเรียงออกมาเป็นผลงานที่มีทั้งข้อมูลและการวิเคราะห์หลายข้อ 

        ศาสตราจารย์มิโลพบว่า ปริมาณของสิ่งมีชีวิตบนโลกมีอยู่ทั้งสิ้น ๕.๕ แสนล้านตันคาร์บอน ในจำนวนนี้เป็นพืช ๘๒ เปอร์เซ็นต์ เป็นแบคทีเรีย ๑๓ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็เป็นชีวิตอื่น ๆ เช่นพวกแมลง เชื้อรา ตลอดจนถึงวาฬและช้าง ทั้งหมดนี้คิดเป็นเพียง ๕ เปอร์เซ็นต์ของมวลชีวิตทั้งโลก

        ถึงแม้ว่าเปลือกโลกจะประกอบด้วยน้ำทะเลถึง ๗๑ เปอร์เซ็นต์ แต่ผลการวิจัยพบว่า สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้ท้องทะเลนั้นมีเพียง ๑ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ชีวิตส่วนใหญ่ (๘๖ เปอร์เซนต์) อาศัยอยู่บนแผ่นดิน ส่วนที่เหลืออีก ๑๓ เปอร์เซ็นต์เป็นพวกแบคทีเรียที่ฝังตัวอยู่ในพื้นดิน




        ข้อมูลที่น่าตกใจก็คือ การเลี้ยงสัตว์และการทำปศุสัตว์ของมนุษย์มีผลอย่างสำคัญต่อมวลชีวิตบนโลก 

        ในจำนวนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วทั้งโลกนั้น มีอยู่ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ที่เป็นสัตว์เลี้ยง (ส่วนใหญ่เป็นวัวและหมู) ๓๖ เปอร์เซ็นต์เป็นมนุษย์ มีเพียง ๔ เปอร์เซ็นต์ที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นสัตว์ป่า นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า สัตว์เลี้ยงจำพวกไก่และเป็ดมีจำนวนคิดเป็น ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของสัตว์ปีกทั้งโลก

        พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าให้เราเข้าไปอยู่ในห้องที่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ๑๐๐ ตัว และสัตว์ปีก ๑๐๐ ตัว ตามอัตราส่วนข้างต้น สัตว์ที่อยู่ล้อมรอบตัวเราส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ที่มีเนื้ออร่อย เช่น วัว หมู ไก่ และเป็ด


        ถ้าเทียบกับปริมาณที่มีอยู่เพียงหยิบมือเดียวคือ ๐.๐๑ เปอร์เซ็นต์ มนุษย์เราน่าจะรู้สึกถึงพลังทำลายล้างของตนเองได้ยิ่งกว่าเรื่องจำนวน

        ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุคของอารยธรรมมนุษย์เป็นต้นมา ๘๓ เปอร์เซ็นต์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลได้หายสาปสูญไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของพืชพันธุ์และ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ของปลากำลังจะถูกทำลายล้างอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

        เพียงแค่ดีดนิ้ว มนุษย์ก็ล้างผลาญโลกได้อย่างมหาศาล

        กิจกรรมของมนุษย์ก่อผลกระทบต่อดาวโลกอย่างมหาศาล จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์บางส่วนตั้งให้ยุคสมัยตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๕๐ จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคใหม่ทางธรณีวิทยา มีชื่อเรียกว่า "ยุคมนุษย์" (Anthropocene)

        ยุคทางธรณีวิทยานี้เริ่มต้น ณ จุดที่เริ่มมีการทดลองนิวเคลียร์ มีมลภาวะจากพลาสติค และมีการเลี้ยงไก่เป็นเป็นสัตว์เลี้ยง นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า การเลี้ยงไก่แบบอุตสาหกรรมทำให้ความหลากหลายในชนิดพันธุ์ของไก่ลดลงอย่างมาก ปัจจุบันแม้แต่โครงกระดูกของไก่ก็ไม่เหมือนกับบรรพบุรุษไก่ในอดีตแล้ว

        นอกจากนี้ ยังมีรายงานการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งของสถาบันเดียวกันนี้พบว่า ในช่วงระยะเวลา ๕๐ ปีมานี้ ครึ่งหนึ่งของชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้สูญพันธุ์ไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์เองยังถึงกับสะท้านในใจ และเรียกยุคนี้ว่า "ยุคที่เกิดการสูญพันธุ์ขนานใหญ่ครั้งที่ ๖ ของประวัติศาสตร์ดาวโลก"

        ศาสตราจารย์มิโลชี้ว่า การสำรวจประชากรสิ่งมีชีวิตครั้งนี้ เป็นการวิเคราะห์มวลชีวิตทั่วทั้งโลก (รวมทั้งไวรัส) อย่างรอบด้านเป็นครั้งแรก

        ผมหวังว่ามนุษย์เราจะเข้าใจถึงบทบาทของมนุษย์ที่มีต่อดาวโลก และหวังว่างานศึกษาชิ้นนี้จะมีผลในทางที่สร้างสรรค์ต่อโลกทัศน์และรูปแบบการบริโภคของมนุษย์ด้วย

        "การเลือกกินอาหารของเรามีผลอย่างมากมายต่อชีวิตสัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บนโลก" ศาสตราจารย์มิโลพูดถึงเรื่องกินโดยเฉพาะ เขากล่าวว่า หลังจากทำงานวิจัยชิ้นนี้จบแล้วเขาก็กินเนื้อสัตว์น้อยลงมาก



ที่มา https://view.inews.qq.com/a/20180529A10G5G00

30 พ.ค. 2561

ทำดีอย่างไรให้ได้ดีเต็ม ๆ



        คนบางคนเมื่อมีปัญหาที่แก้ไม่ตก รู้สึกว้าวุ่นสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ก็มักจะไปหาหมอดู ไปไหว้ผีไหว้เจ้าเพื่อขอวิธีแก้ไขต่าง ๆ นานา แต่การเสี่ยงทายพยากรณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยนอย่างยิ่ง เพราะมันคือการไปกำหนดเรื่องดีเรื่องร้ายให้คนโดยไม่คำนึงถึงกรรมเลย อันที่จริง ชีวิตคนจะดีขึ้นหรือเลวลง ไม่มีเทพเจ้าที่ไหนมากำหนดได้ ล้วนมาจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น

        ผู้ที่ยังละล้าละลังอยู่ท่ามกลางความสับสน ไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไรอย่างไร ควรที่จะถามตัวเองดูว่า เรื่องที่จะทำนั้นเข้ากับศีลธรรมหรือไม่ เป็นเรื่องชอบธรรมหรือไม่ หรือขัดกับกฎหมายหรือไม่ ไม่ใช่ไปหาคำตอบด้วยการเสี่ยงทาย ถามเทพถามเจ้า ชีวิตเราควรให้กรรมเป็นผู้ลิขิต คือเราเป็นผู้กำหนดเอง อย่าเอาชีวิตไปมอบให้เทพเจ้าทั้งหลายเลย


        สมมุติโลก


        คนญี่ปุ่นชอบให้นาฬิกาเป็นของขวัญกัน เพราะตัวหนังสือที่แปลว่านาฬิกา (钟) กับเงิน (钱) ในภาษาญี่ปุ่นเป็นคำที่อ่านออกเสียงเหมือนกัน ดังนั้น การให้นาฬิกาจึงเป็นการอวยพรให้มีความเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา แต่ในประเทศจีน กลับเป็นเรื่องต้องห้ามในการให้นาฬิกาเป็นของขวัญ เพราะคำว่า "ให้นาฬิกา" ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า "ถึงที่ตาย" (送终) ถือเป็นเรื่องอัปมงคลของวัฒนธรรมจีน แต่ที่อเมริกาและญี่ปุ่นกลับถือเป็นเรื่องดี เป็นมงคล

        จะเห็นได้ว่า เรื่องดี เรื่องร้าย เป็นมงคล เป็นอัปมงคล ล้วนเป็นเรื่องที่คนเราคิดกันขึ้นมาเอง สมมุติเอาเอง กำหนดกันขึ้นมาผูกมัดตนเองทั้งนั้น

        อันที่จริง เรื่องดีเรื่องร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสี ทิศทาง และตัวเลขเลยสักนิด ดีหรือร้ายล้วนเกิดจากกรรมเป็นเหตุ ถ้าอยากให้เกิดดีก็ต้องมีเหตุดีหรือประกอบกรรมดีมาก่อน


        โลกที่มีรูรั่ว

        มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งเล่าว่า มีฮ่องเต้พระองค์หนึ่งทรงฉลองพระองค์อย่างสามัญชนเพื่อออกไปท่องเที่ยวนอกวัง ปกติฮ่องเต้เมื่ออยู่ในวังก็จะมีอำนาจยิ่งใหญ่ล้นฟ้า จะเอาอะไรก็ได้ แต่เมื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายมาเป็นอย่างคนสามัญแล้วออกนอกวัง ไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ ก็รู้สึกเก้อ ๆ แปลก ๆ อยู่เหมือนกัน 

        วันหนึ่งพระองค์เดินทางมาถึงชนบทแห่งหนึ่ง รู้สึกร้อนและกระหายน้ำ มีชาวนาที่อยู่ข้างทางคนหนึ่งยกน้ำชามาให้ท่านด้วยอัธยาศัยอย่างดี ฮ่องเต้ได้ดื่มน้ำชานั้นแล้วอย่างชุ่มชื่น เมื่อกลับสู่เมืองหลวง ก็มีคำสั่งให้ส่งข้าหลวงไปที่บ้านของชาวนาผู้นั้นเพื่อมอบตำแหน่งยกให้ให้เป็นรางวัล

        เรื่องนี้ถูกร่ำลือเล่าขานออกไปจนถึงหูของบัณฑิตคนหนึ่ง เขารู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ ยอมรับไม่ได้ จึงได้เขียนกลอนไว้ที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่งว่า "ทนลำบากพากเพียรมาเป็นสิบปี ยังไม่ได้ดีเท่าถวายชาแค่ถ้วยเดียว"

        หลายปีต่อมา ฮ่องเต้ได้เดินทางมาถึงชนบทแห่งนี้อีกครั้ง พอได้เห็นคำกลอนบทนี้ก็รู้ได้เลยว่าผู้เขียนตัดพ้อถึงเรื่องอะไร พระองค์จึงทรงเขียนคำกลอนต่อไปอีกสองบรรทัดว่า "เขาอาจไม่เก่งกล้าสามารถเหมือนท่าน แต่วาสนาของท่านไม่ดีเท่าเขา"

        โลกมนุษย์มีเรื่องมากมายที่ดูเผิน ๆ เหมือนไม่ยุติธรรม เช่น อำนาจ เงินทอง ลาภ ยศ ความฉลาดความโง่ รูปโฉมงามหรือไม่งาม ความมีโอกาสด้อยโอกาส ฯลฯ ล้วนทำให้คนเรานั้นแตกต่างและไม่เท่าเทียมกัน นี่เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของโลกที่มีรูรั่ว มีความพร่องอยู่เป็นธรรมดา 

        การที่จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมเสมอหน้ากันทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเข้าใจหลักของ "กรรมใดใครก่อ ผู้นั้นก็ย่อมได้รับ" แล้ว เหตุการณ์คนรวยตกต่ำกลายเป็นยาจก คนจนรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นเศรษฐี ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาบนโลกใบนี้ 

        ดังนั้น ในโลกของกรรม ถึงที่สุดแล้วชะตาชีวิตของแต่ละคนย่อมได้รับความยุติธรรมอย่างแน่นอน

        ถ้าชาติที่แล้วเรามีเงินฝาก (กุศลกรรม) ในธนาคารแห่งกรรมมาก่อน ชาตินี้ก็ต้องได้ใช้แน่นอน แต่ถ้าถอนออกมาใช้อย่างเดียวไม่มีฝากเพิ่ม ไม่นานเงินฝากนั้นก็หมดได้ หรือถ้าชาติก่อนเรามีหนี้กรรมสะสมมามาก แน่นอนว่าชาตินี้ต้องเจอความลำบากลำบน แต่ถ้าเริ่มฝากเงินใหม่เสียตั้งแต่วันนี้ก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป ดังนั้น เราจึงควรพยายามทำความดีไปเถิด ไม่จำเป็นต้องไปตัดพ้อหรอกว่าโลกมันยุติธรรมหรือไม่

        ทำไมจึงมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ทำความดีแต่กลับไม่ได้ดี นั่นเป็นเพราะกาย วาจา ใจของเขามีรูรั่วที่เป็นจุดบกพร่องอยู่มาก อานิสงส์ของการทำดีจึงมีการรั่วไหลไปเป็นธรรมดา

        เช่นการให้ทาน ถ้าใจไม่ยินดี ไม่เต็มใจที่จะให้ ให้แล้วไปทำให้ผู้รับเขารู้สึกเสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี แม้จะเป็นการทำความดี แต่อานิสงส์ของทานนั้นก็รั่วไหลได้เช่นกัน

        แม้เราจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นทำความดีมาไม่น้อย แต่หากว่าเรายกตัวยกตนอยู่ตลอดเวลา โอ้อวดถือดี จนคนอื่น ๆ ไม่พอใจ แถมหมั่นไส้ด้วย ก็แปลว่าอานิสงส์ของการทำดีนั้นได้รั่วไหลออกไปแล้ว

        หรือปกติเราเป็นคนพูดจาดี ทำแต่เรื่องดี ๆ ใจก็คิดแต่เรื่องที่ดี สั่งสมเป็นกุศลมาก็ไม่น้อย แต่พอเจอเรื่องเลวร้ายเข้าหน่อย ก็บ่นตีโพยตีพาย พูดจาว่าร้ายสารพัด โทษฟ้าโทษดิน โทษผู้อื่น แบบนี้อานิสงส์ของการปฏิบัติดีที่ทำมานั้นก็เกิดการรั่วไหลแล้ว

        เปรียบเหมือนเราทำงานหาเงินได้ก็จริงแต่ก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย หรือทำการเพาะปลูกอยู่แต่ก็เดินเหยียบย่ำแปลงพืชผักไปด้วย ลักษณะอย่างนี้ก็คือยังอยู่ในโลกโลกีย์ที่มีความรั่วไหล ยังเป็นสัตว์โลกที่มีความพร่องอยู่

        ดังนั้น เพื่อที่จะอุดรูรั่วเหล่านี้ สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องสำรวมกาย วาจา ใจให้ดี อย่าให้มีกรรมที่เป็นทุจริต ไม่เช่นนั้นมันก็จะมีผลให้อานิสงส์แห่งกุศลที่เราทำแล้วเกิดรั่วไหลออกไปได้


ที่มา http://new.qq.com/omn/20180525/20180525A17B7J.html

29 พ.ค. 2561

เหตุและผลของทุกเหตุการณ์



        因果 (อิน-กว่อ) ในภาษาจีนเป็นคำสำคัญคำหนึ่งของศาสนาพุทธ แปลความหมายตามตัวอักษรก็คือ เหตุ (因) และผล (果) แต่ที่มาของศัพท์คำนี้มาจากคำว่า กรรม ในภาษาสันสกฤต

        คำว่า "กรรม" นี้ใคร ๆ ก็รู้จัก ใคร ๆ ก็พูดได้ แต่ความหมายของมันมีน้อยคนที่เข้าใจอย่างแท้จริง

        ขณะที่คนกำลังทำกรรมหรือ "เหตุ" ต่าง ๆ ที่เป็นบาปอกุศล เขามักไม่รู้ถึงโทษอันร้ายแรงของมัน จนกระทั่ง "ผล" แห่งวิบากนั้นมาถึง เขาถึงได้รู้ตัวว่าเกิดเรื่องเลวร้าย และเพิ่งจะมาสำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว

        คนทั่วไปเมื่อพบกับความผิดพลาดล้มเหลว มักจะโทษฟ้าโทษดิน โทษผู้อื่น ไม่พอใจผู้อื่น แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า "ผลนั้นเกิดแต่เหตุ" จะต้องมีเหตุที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน จึงนำมาสู่ผลอย่างนั้นได้ คนบนโลกมักมองเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่แค่ส่วนที่เป็นผลบั้นปลายเท่านั้น ไม่ได้สาวให้ลึกไปถึงต้นเหตุของมัน

        ตัวอย่างเช่น เด็กบางคนมักโทษพ่อแม่ว่าไม่รักไม่เอ็นดู แต่หารู้ไม่ว่าที่พ่อแม่ไม่รักนั้นเกิดจากเหตุที่พวกเขาเป็นเด็กเกเร พ่อแม่บางคนมักโทษว่าลูก ๆ ไม่กตัญญู แต่หารู้ไม่ว่าเหตุเพราะพ่อแม่ทำแต่เรื่องแย่ ๆ จึงทำให้ลูก ๆ แหนงหน่าย 

        ดังนั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าไม่สืบสาวไปให้ถึงต้นตอแห่งเหตุแล้วจะเข้าใจความเป็นจริงของมันได้อย่างไร แล้วจะทำให้เกิดความยุติธรรมหรือความชอบธรรมได้อย่างไร

        ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เหตุ ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ก็คือ "กรรม" นั่นเอง ดังนั้น จะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ว่า เหตุการณ์ทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเกิดจากกรรมทั้งสิ้น ไม่มีอะไรบังเอิญ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอย ๆ

        คนหลายคนไม่เข้าใจเรื่องกรรมอย่างแท้จริงและมักจะเข้าใจผิดอยู่เสมอ เช่นบางคนกินมังสวิรัติ สวดมนต์เป็นประจำ เป็นคนมีเมตตาทำแต่กุศล แต่ทำไมยังเจอเหตุการณ์ร้ายอยู่อีก กฎแห่งกรรมหายไปไหน ทำไมไม่ส่งผลล่ะ แต่เขาไม่รู้เลยว่าในธนาคารแห่งกรรมของเขานั้นยังมีหนี้ค้างอยู่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นคนดี ทำความดีแล้ว แต่หนี้ของเก่ายังไงก็ยังต้องใช้คืนอยู่ดี

        เช่นเดียวกัน มีบางคนทำบาปทำชั่วสารพัด ทั้งฆ่า ปล้นและสำส่อน แต่ก็ยังคงสามารถเสพสุขในลาภ ยศ สรรเสริญได้อย่างเต็มที่ ไหนล่ะกฎแห่งกรรม อันที่จริง เขายังมีเงินฝากอยู่ในธนาคารแห่งกรรมอยู่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะทำชั่ว แต่เขาก็ยังมีสิทธิ์ใช้เงินฝากของเขาที่มีอยู่ก่อนได้ จึงสรุปว่า "กรรม" นั้นมีทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เกี่ยวเนื่องกันอยู่ในชาติก่อน ชาตินี้ และชาติหน้า

        ยามที่เราเห็นพืชพันธุ์ออกดอกออกผล ก็ย่อมเข้าใจได้ว่ามีคนหว่านเพาะมันไว้ก่อนแล้ว เช่นเดียวกัน เมื่อเราเห็นใครทำดีมีเมตตา ก็จะเข้าใจได้ว่าในอนาคตคนผู้นั้นจะต้องได้รับผลดีที่ทำไว้อย่างแน่นอน


ที่มา http://new.qq.com/omn/20180525/20180525A17B7J.html

26 พ.ค. 2561

ฆ่าความขุ่นข้องขัดเคือง แค่ความขอบคุณ



        สำนวนจีนมีคำกล่าวว่า "บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ" แต่คนส่วนใหญ่มักจะจดจำแต่บัญชีหนี้แค้น ไม่จดจำหนี้บุญคุณ คนที่จดจำบุญคุณของผู้อื่นได้มีน้อยกว่าคนที่จดจำความแค้น เป็นดั่งที่โบราณว่าไว้คือ "ใจมนุษย์นั้นตะกละยิ่งกว่างูกลืนช้าง" หากใครมาทำดีต่อเรานิดหน่อย เราก็อยากให้เขาทำให้เรามากขึ้นอีก หรือมีใครให้เรายืมเงินแล้ว เรากลับรู้สึกว่าไม่มากพอ และไปหาว่าเขาขี้เหนียวเสียอีก

        ถ้าเรามีความคิดแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นคนไม่รู้จักความกตัญญู คิดแต่ว่าคนอื่นต้องให้อะไรแก่เรา ไม่เคยคิดจะตอบแทน แถมยังอยากได้อีกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักพอ นอกจากจะชิงชังคนที่ไม่ยอมให้สิ่งดี ๆ แก่เราแล้ว ยังไม่พอใจคนที่เคยช่วยเหลือเราอีกด้วย หาได้มีความรู้สึกถึงความขอบคุณเลย ผู้ที่มีจิตใจแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า คนอื่นมาทำดีกับเรานั้นก็สมควรอยู่แล้ว พ่อ แม่ พี่ น้องทำดีกับเรานั้นก็ถูกต้องแล้ว หรืออาจจะคิดไปถึงขั้นที่ว่าคนเขามาช่วยเรา เขาก็จะได้ความสุขไปด้วย ดังนั้นเขาทำดีกับเราก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าคนอื่นเริ่มไม่ดีกับเราแม้เล็กน้อย เราก็จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที

        ผู้ที่ไม่รู้จักมีใจกตัญญู ไม่ว่าพบกับใครหรือพบกับเหตุการณ์อะไรก็มีแต่ความชิงชัง ความไม่พอใจ วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสก็จะบ่นว่า "แดดแรงขนาดนี้ ร้อนจะแย่แล้ว ทำไมฝนไม่ตกลงมาบ้างนะ" พอเป็นวันที่ฝนตกก็บ่นอีกว่า "หนาวไปแล้ว ทำไมไม่มีแดดบ้างนะ" ต่อให้อากาศสดใสดีตลอดทั้งปี ก็ยังบ่นได้อีกว่าไม่มีฤดูกาลบ้างเลย คนแบบนี้ไม่เคยพอใจอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อม ผู้คน ราวกับว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครหรือเรื่องใดเลยที่เขาควรจะรู้สึกขอบคุณ เขาจึงจมอยู่แต่กับอารมณ์ที่ไม่พอใจ

        ดังนี้ ผู้ที่ไม่รู้จักความขอบคุณจะไม่มีวันรู้สึกพอ จะมีความไม่พอใจผู้อื่นอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรพยายามอย่าให้ความรู้สึกไม่พอใจแบบนี้เกิดขึ้นในจิตใจ ถ้ามันมีเกิดขึ้นก็ต้องรีบหาทางสลายมันทิ้งไปเสีย อย่าปล่อยให้มันก่อผลเสียหายต่อความสงบในใจของเราได้

        วิธีสลายความไม่พอใจหรือความขัดเคืองที่ดีที่สุดคือ การมองผู้คนหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยมุมมองของความรู้สึกขอบคุณให้มาก ๆ ชีวิตเราไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง ดังนั้น การมีชีวิตอยู่บนโลก แม้แต่ข้าวสักหนึ่งก้อน น้ำสักหนึ่งคำ กระทั่งอากาศที่เราหายใจสักหนึ่งลมเข้าออก ก็ควรต้องรู้สึกขอบคุณ ทำได้อย่างนี้แล้วความรู้สึกไม่พอใจก็จะลดลงหรือสลายไปได้

        คนผู้หนึ่งจะรู้สึกพอหรือไม่ เป็นสุขหรือไม่ หาได้ขึ้นอยู่กับว่าเขามีเท่าไร หรือผู้อื่นปฏิบัติต่อเขาอย่างไร สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจของเขาและมุมมองที่เขามีต่อสิ่งต่าง ๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา" ใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง ใจเป็นใหญ่ ใจประเสริฐที่สุด ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ หากเราสามารถรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ มีใจที่รู้พอ ก็จะรู้สึกผาสุกกับชีวิตได้ ต่อให้ไม่มีอะไรเลย แต่ก็พอใจในน้ำทุกคำที่ได้ดื่ม ข้าวทุกก้อนที่ได้กลืน อากาศทุกลมเข้าออกที่ได้หายใจ หากรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งเหล่านี้ได้ ก็สามารถอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขได้ทุกวัน


ที่มา http://new.qq.com/omn/20180524/20180524B0YQGM.html
โดย 法侣 (สหายธรรม)

15 พ.ค. 2561

เมื่อเนื้อมนุษย์สามารถหาซื้อได้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต

เคนตัคกี้ฟรายด์ฮิวแมน


        บาบารา แดเนียลส์ (Babara Daniels) ศิลปินหญิงที่มาจากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งอพยพไปตั้งรกรากอยู่ที่เบอร์ลินตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๑๓ และคงจะได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองมังสวิรัติที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปแห่งนี้ แดเนียลส์จึงได้เริ่มสร้างงานชุดหนึ่งด้วยสีอะครีลิค เพื่อสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสัตว์ในโลกยุคปัจจุบัน

บาบารา แดเนียลส์ (Babara Daniels)


        "ถ้ามนุษย์เราได้รับมุมมองแบบใหม่ ก็จะรู้ได้ทันทีว่า เรื่องที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องเหล่านี้มันช่างบ้าบอคอแตกและน่าสยดสยองแท้ ๆ"

        ผลงานชุด Happy Farms ได้แสดงให้เราเห็นถึงกิจวัตรประจำวันของโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่ง แต่สิ่งที่แตกต่างไปก็คือ ที่นี่สัตว์ที่ถูกเลี้ยง ฆ่า และแปรรูปก็คือ มนุษย์









        แดเนียลส์ได้ทดลองใช้ภาพวาดเหล่านี้กระตุ้นให้คนคิดในมุมกลับดูบ้าง

        ในฐานะมนุษย์ เราได้ประณามและต่อต้านความรุนแรงชนิดต่าง ๆ มานับร้อยนับพันปี แต่ปัจจุบันเราได้กระทำสิ่งเหล่านี้ต่อร่างของสัตว์ทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีความทารุณยิ่งกว่าเป็นร้อยพันหมื่นเท่า

        "สัตว์ที่ถูกแขวนด้วยตะขอเหล็กห้อยหัวลงแล้วตัดหัวปล่อยให้เลือดไหล ผ่าท้องทะลวงไส้ออก พวกเขาล้วนเป็นชีวิต เป็นชีวิตที่สิ้นไร้ไม้ตอก"


        ผลงานอีกชุดหนึ่งของเธอคือ มนุษย์ที่อยู่ภายใต้การปกครอง เป็นการตั้งคำถามย้อนกลับว่า "ทำไมเกิดเป็นมนุษย์มันถึงห่วยแตกขนาดนี้"


 
อาหารเนื้อมนุษย์ปรุงสด ๆ

 
มนุษย์นมกำลังถูกรีดนม

 
เนื้อมนุษย์สด ๆ

ตู้เลี้ยงมนุษย์

มนุษย์ทดลอง

เรียกร้องสิทธิให้แก่มนุษย์

        ชมผลงานอื่น ๆ ของ Barbara Daniels ได้ที่เว็บไซต์ของเธอ http://www.barbaradanielsart.com/ หรือติดตามเธอได้ในเฟสบุค https://www.facebook.com/barbara.daniels.artist


ที่มา http://new.qq.com/omn/20180425/20180425B063Z9.html 

14 พ.ค. 2561

โรงพยาบาลมังสวิรัติ การปฏิวัติด้านอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น


        ในขณะที่ท่านยังเถียงอยู่ว่า กินมังสวิรัติจะขาดสารอาหาร กินมังสวิรัติจะไม่มีแรง กว่าที่มนุษย์เราจะปีนขึ้นมาอยู่บนจุดสุดยอดของห่วงโซ่อาหารได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วจะให้เรากลับไปกินมังสวิรัติอย่างนั้นหรือ

        แต่เวลานี้ได้มีแพทย์กลุ่มหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารของตนเองมาเป็นมังสวิรัติ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังทำให้โรงพยาบาลกลายเป็น "โรงพยาบาลมังสวิรัติ" ด้วย แพทย์กลุ่มนี้กำลังใช้ตัวอย่างของคนไข้และข้อมูลจริงเพื่อบอกเราถึงความสำคัญของการปฏิวัติด้านอาหารครั้งนี้

        ปี ๒๐๑๗ ครั้งแรกของ "หอผู้ป่วยมังสวิรัติ"

        "ผู้ป่วยควรกินเนื้อนมไข่ให้มากเพื่อเสริมสร้างโปรตีน" นี่เป็นความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับอาหารการกินของผู้ป่วย อันที่จริง สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน เป็นต้น การกินอาหารเนื้อสัตว์มาก ๆ หาได้ช่วยบำรุงแต่อย่างใด กลับจะเป็นภาระและไม่เป็นผลดีต่อร่างกายของผู้ป่วยด้วยซ้ำ 

        เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ค.ศ. ๒๐๑๗ ศาสตราจารย์เซี่ยวฉางเจียง แพทย์เฉพาะทางด้านหลอดเลือดหัวใจประจำสถาบันเวชศาสตร์แพทย์แผนจีนมณฑลหูหนาน (Hunan) ร่วมกับองค์กรสาธารณกุศลได้ริเริ่มโครงการ "หอผู้ป่วยมังสวิรัติ" ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน ด้วยการแจกฟรี "อาหารมังสวิรัติทุกวันจันทร์" ให้แก่ผู้ป่วยที่สนใจ นับเป็นการเปิดศักราชครั้งแรกของการปฏิวัติด้านอาหารสุขภาพในวงการสาธารณสุขของมณฑลหูหนาน

        นับตั้งแต่เริ่มโครงการนี้มา คนไข้ของแผนกหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนมณฑลหูหนาน สามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับอาหารกลางวันฟรีหนึ่งมื้อซึ่งเป็น "อาหารมังสวิรัติจากผู้ใจบุญ" ได้ทุกวันจันทร์ ผลก็คือคนไข้ให้การตอบรับกับโครงการ "หอผู้ป่วยมังสวิรัติ" นี้อย่างดียิ่ง

        ผู้ป่วยสูงวัยท่านหนึ่งที่ได้รับ "อาหารมังสวิรัติจากผู้ใจบุญ" นี้เปิดเผยความรู้สึกว่า "หลังออกจากโรงพยาบาลแล้วฉันจะบอกคนอื่น ๆ ให้หันมากินมังสวิรัติกันมากขึ้น ฉันยังยินดีบริจาคเงินอีก ๖๐๐ หยวนเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายของโครงการอาหารมังสวิรัติสำหรับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ด้วย ถ้าเรารู้จักประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติ ถ้าเราเดินตามแนวทางเพื่อสุขภาพอย่างนี้ ฉันและคนในครอบครัวก็จะห่างไกลจากโรคหัวใจได้"

        โครงการ "หอผู้ป่วยมังสวิรัติ" นี้ ศาสตราจารย์เซี่ยวฉางเจียงร่วมกับผู้ใจบุญในแวดวงต่าง ๆ ได้ผลักดันและดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในช่วงแรกเป็นการทดลองแจก "อาหารมังสวิรัติทุกวันจันทร์" ต่อมาก็ค่อย ๆ ขยายมาเป็น "อาหารมังสวิรัติวันละมื้อ" โดยมุ่งหวังว่าการแจกอาหารฟรีนี้จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเช่นโรคหัวใจเป็นต้น เกิดความสำนึกรู้ในเรื่องอาหารสุขภาพ และจุดประกายให้ผู้ป่วยค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่พฤติกรรมการกินอาหารสุขภาพและพัฒนาต่อไปสู่การกินอาหารมังสวิรัติเป็นหลักได้อย่างต่อเนื่อง

        ปี ๒๐๑๘ "โรงพยาบาลมังสวิรัติ" แห่งแรกของประเทศจีน

โรงพยาบาลประจำเขตเทียนซิน
        วันที่ ๑๐ เมษายน ค.ศ. ๒๐๑๘ โรงพยาบาลมังสวิรัติแห่งแรกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ โรงพยาบาลการแพทย์แบบผสมผสานเมืองฉางซา (มีอีกชื่อหนึ่งว่าโรงพยาบาลประจำเขตเทียนซินเมืองฉางซา) จุดมุ่งหมายของโรงพยาบาลมังสวิรัตินี้ก็คือ อาศัยแนวคิด "มังสวิรัติสัปดาห์ละหนึ่งมื้อ" แจกอาหารมังสวิรัติให้แก่คนไข้ หมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ๑ มื้อ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เกิดความใส่ใจเรื่องอาหารสุขภาพ สร้างพฤติกรรมให้ย้อนกลับไปสู่รูปแบบการกินอาหารแบบดั้งเดิมที่เน้นการกินพืชผักเป็นหลัก เสริมสร้างวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพแบบเก่าก่อนให้ฟื้นคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง 

        เซี่ยวฉางเจียง หัวหน้าคณะกรรมการการแพทย์ธรรมชาติ สมาคมการแพทย์แบบผสมผสานมณฑลหูหนานได้เปิดเผยว่า "โรงพยาบาลมังสวิรัติ" มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการให้ความรู้เรื่องสุขภาพเชิงประสบการณ์ การรณรงค์แนวคิดที่ว่าอาหารมังสวิรัติดีต่อสุขภาพยิ่งกว่า ทำให้ผู้ป่วย หมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากได้ทดลองกินอาหารมังสวิรัติ ยอมรับรูปแบบการกินอาหารที่มีพืชผักเป็นหลัก สิ่งนี้จะเป็นการเปิดศักราชของการปฏิวัติด้านอาหารในวงการสาธารณสุข เขาหวังว่าโรงพยาบาลประจำเขตเทียนซินจะเป็นผู้เผยแพร่แนวคิดและวัฒนธรรมด้านอาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ และเป็นแบบอย่างของการนำอาหารมังสวิรัติเข้าสู่หอผู้ป่วยของประเทศจีน

        ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ประเทศจีนพบอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากกว่าโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ จนกลายเป็น "เพชฌฆาตอันดับหนึ่ง" ของวงการสาธารณสุขจีนไปแล้ว ศาสตราจารย์จ้าวสุ่ยผิง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจชี้ว่า สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการกินอาหารและการดำเนินชีวิตของคนสมัยนี้ที่เปลี่ยนไป คนจำนวนมากกินดีเกินไปและออกกำลังกายน้อยเกินไป

ศาสตราจารย์จ้าวสุ่ยผิง

        ศาสตราจารย์จ้าวสุ่ยผิงเปิดเผยว่า การรณรงค์เชิงประสบการณ์ด้านอาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ ด้วยการนำอาหารมังสวิรัติเข้าสู่หอผู้ป่วย นอกจากจะมีผลดีอย่างมากในด้านการควบคุมโรคและฟื้นฟูร่างกาย เพราะอาหารมังสวิรัติมีกากใยและวิตามินต่าง ๆ มากแล้ว ยังช่วยให้คนจำนวนมากได้ทดลองกินและเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพด้วยตนเอง ได้ประสบการณ์ด้านรสชาติที่ดีและผลดีต่อสุขภาพของอาหารมังสวิรัติด้วย ทำให้คนหันกลับมาสู่วิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพได้มากขึ้น อันเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความเป็นคนมีสุขภาพดีของประเทศและของมณฑลหูหนาน

        "ปัจจุบันเรามีโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ วิทยาการด้านการแพทย์ก็พัฒนาก้าวหน้ายิ่งขึ้น ๆ แต่จำนวนผู้ป่วยกลับไม่เคยลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานออฟฟิศซึ่งมีฐานะที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก สิ่งที่ตามมาก็คือภาวะการกินอาหารที่ล้นเกิน และพวกเขาก็มักจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายกันด้วย จึงทำให้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่าย" 

        ถงจวิ้นเจี๋ย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำเขตเทียนซินกล่าวว่า "ในฐานะโรงพยาบาลมังสวิรัติแห่งแรกของประเทศ เราหวังว่าการแจกอาหารมังสวิรัติฟรีสัปดาห์ละหนึ่งมื้อนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดและโรคอื่น ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารได้ และจะสามารถทำการรักษาผู้ป่วยด้วยอาหารและวิธีทางการแพทย์อื่น ๆ ควบคู่กันไปได้ด้วย"


        สมาคมการแพทย์อเมริกาเรียกร้องให้โรงพยาบาลทุกแห่งเสิร์ฟอาหารมังสวิรัติ

        มีรายงานจากเว็บ Live Science (livescience.com) ของอเมริกาว่า กลุ่มแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกากำลังเรียกร้องให้โรงพยาบาลทุกแห่งเสิร์ฟอาหารที่มาจากพืชผักล้วน ๆ (plant-based foods)

        สมาคมแพทย์อเมริกา (American Medical Association) กำลังเรียกร้องให้โรงพยาบาลทุกแห่งในประเทศเสิร์ฟอาหารสุขภาพอย่างหลากหลาย รวมถึงอาหารจากพืชผัก (plant-based foods) และอาหารที่มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลต่ำ นอกจากนี้ ยังให้ตัดอาหารจำพวกเนื้อแปรรูป (processed meats) ออกจากเมนูด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วย บุคลากร และผู้มาเยี่ยมโรงพยาบาลให้ดีขึ้น

        ดอกเตอร์นีล บาร์นาร์ด (Dr. Neal Barnard) ประธานสมาคมการแพทย์ด้วยสำนึกรับผิดชอบแห่งอเมริกา (Physicians Committee for Responsible Medicine) ได้กล่าวในที่ประชุมของสมาคมการแพทย์อเมริกาโดยเปรียบเทียบอาหารทำลายสุขภาพกับยาสูบว่า "ในยุคของคนรุ่นก่อน สมาคมการแพทย์ได้พยายามกำจัดบุหรี่ออกจากโรงพยาบาล ซึ่งได้ช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องการละเลิกพฤติกรรมทำลายสุขภาพลงเสียบ้าง แม้แค่ชั่วคราวคือเวลาที่มาโรงพยาบาลก็ยังดี"

        ดร. บาร์นาร์ด กล่าวว่า ฮ็อตดอกและผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูปอื่น ๆ จะว่าไปแล้วก็เหมือนกันกับบุหรี่ มันสามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ โดยในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูปอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งเช่นเดียวกับแร่ใยหินและบุหรี่


        ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกและองค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศระบุว่า การกินเนื้อแปรรูปวันละ ๕๐ กรัมทุกวัน (เท่ากับเบค่อนไม่เกิน ๒ เส้น) จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากถึง ๑๘ เปอร์เซ็นต์


        โรงพยาบาลแอดเวนทิสฮ่องกง


        ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๖ เป็นต้นมา เมนูอาหารในหอผู้ป่วยของโรงพยาบาลแอดเวนทิสที่ฮ่องกงก็ถูกเปลี่ยนเป็นอาหารมังสวิรัติ และเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้กินอาหารที่ปลอดภัย นักโภชนาการจะต้องตรวจสอบรายการอาหารที่ผู้ป่วยเลือกกินด้วย เพื่อป้องกันอาหารที่อาจทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลง

        หวงจื้อหยง นักโภชนาการประจำโรงพยาบาลกล่าวว่า "หลายปีก่อนมีรายงานผลการวิจัยเรื่องการป้องกันมะเร็งได้ให้คำแนะนำวิธีการสิบอย่างที่จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ในนั้นมีอยู่สองข้อที่บอกว่าให้กินอาหารมังสวิรัติและลดการกินเนื้อแดง เนื้อสัตว์นั้นมีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง ไม่ดีต่อสุขภาพของผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และคนอ้วน การกินเนื้อสัตว์มากเกินไป โดยเฉพาะเนื้อแดง จะมีผลเสียต่อระบบการย่อย เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ด้วย ส่วนผักและผลไม้มีกากใยมาก การกินผักมาก ๆ จะช่วยลดโรคต่าง ๆ ที่กล่าวมาได้ อาหารจำพวกถั่วต่าง ๆ สามารถทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ มันให้สารอาหารที่จำเป็นได้ครบถ้วน หากเราไม่ดื่มนมวัวและไม่กินเนยชีสเลย การกินบร็อคโคลี่และเต้าหู้ก็สามารถเสริมแคลเซี่ยมให้ร่างกายได้เช่นกัน"

        หวงจื้อหยงยังแนะนำอีกว่า เราสามารถใช้หน่อไม้ ฟักทอง และข้าวโพด เติมน้ำแล้วปั่นรวมกันเป็นน้ำซอส สามารถใช้แทนซอสปรุงรสที่มีโซเดียมสูงได้ เมนูอาหารมังสวิรัติของโรงพยาบาลแอดเวนทิสมีรสชาติและความหลากหลายไม่ด้อยไปกว่าร้านอาหารมังสวิรัติทั่วไปเลย ตั้งแต่โจ๊ก ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ข้าว ออเดิร์ฟ อาหารจานหลัก ของหวานและขนมของว่างต่าง ๆ ทั้งอาหารจีนและอาหารฝรั่ง เมนูอะไรที่ควรมีเราก็มีทั้งนั้น


        โรงพยาบาลในไต้หวันที่เสิร์ฟแต่อาหารมังสวิรัติ

โรงพยาบาลฉือจี้ต้าหลิน

        หลินหมิงหนาน รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลฉือจี้ต้าหลินเปิดเผยว่า โรงพยาบาลทั้ง ๖ แห่งของมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน ไม่ขายอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ มีขายแต่อาหารมังสวิรัติเท่านั้น ในแต่ละปีมีการบริโภคอาหารมังสวิรัติทั้งหมด ๒.๕๔ ล้านสำรับ นอกจากจะช่วยส่งเสริมสุขภาพและความมีเมตตาจิตแล้ว ยังลดการปล่อยกาซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย ศูนย์อาหารมังสวิรัติของฉือจี้มีอาหารจำหน่ายประมาณ ๒๐๐ รายการ ครบถ้วนทั้งคุณค่าและรสชาติ นอกจากฉือจี้แล้ว โรงพยาบาลไถอันของศาสนาคริสต์ก็ช่วยผลักดันเผยแพร่อาหารมังสวิรัติด้วยเช่นกัน

        "พวกเราอาศัยโครงการ "หอผู้ป่วยมังสวิรัติ" ในการเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติด้านอาหารที่ดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ ดีต่อสิ่งแวดล้อมโลก และดีต่อประเทศชาติและประชาชนด้วย กระตุ้นให้โรงพยาบาลและผู้ป่วยในประเทศหันมาสนใจเรื่องอาหารสุขภาพ เราเผยแพร่อาหารมังสวิรัติซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง อาการ stroke และโรคเรื้อรังอื่น ๆ "

        ดร. เซี่ยวฉางเจียงเปิดเผยว่า "ในประเทศจีน ๘๓ เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีสาเหตุจากโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน จีนมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน ๑๒๐ ล้านคน ถ้าเราสามารถรณรงค์ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากินอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารหลักได้ ก็จะป้องกันโรคเบาหวานได้มาก และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานจำนวนมากที่สามารถลดปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการกินอาหารมังสวิรัติ และลดอาการกำเริบของโรคได้ด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคม ประเทศชาติ และประชาชน"

        การเกิดขึ้นของโครงการ "หอผู้ป่วยมังสวิรัติ" มีความหมายมากกว่าอาหารสุขภาพรสชาติดีเพียงหนึ่งมื้อเท่านั้น ความหมายที่สำคัญยิ่งกว่าอยู่ที่การกระตุ้นให้คนส่วนใหญ่ที่ "กินของอร่อยตามใจปาก" ได้มีความสำนึกรู้ถึงความสำคัญของอาหารที่มีต่อสุขภาพ การยับยั้งความอยากในอาหารเนื้อสัตว์ สร้างพฤติกรรมเพื่อสุขภาพ สร้างความผาสุกแก่ทุกครอบครัว คุณค่าเหล่านี้ต่างหากคือความหมายที่แท้จริงของการปฏิวัติด้านอาหารในครั้งนี้



ที่มา http://new.qq.com/omn/20180507/20180507A102OS.html

ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์

        วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...