28 มิ.ย. 2560
พลังชีวิตของนักมังสวิรัติ
มีงานวิจัยของประเทศเยอรมันชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการเปรียบเทียบพลังชีวิตจากสนามพลังของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในตัวของคนที่มีรูปแบบในการกินอาหารแตกต่างกัน ได้ผลดังนี้
กลุ่มคนที่กินผลไม้ป่า ผักที่ขึ้นตามธรรมชาติ ใบพืชและสมุนไพรเป็นอาหาร มีพลังสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสูงที่สุด วัดได้ถึง 120,000 หน่วย
รองลงมาคือกลุ่มคนที่กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัด หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า vegan คือกินพืชผักที่ไม่ผ่านความร้อนหรือผ่านความร้อนไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส เช่น ผัก ผลไม้ ต้นอ่อนของธัญพืช ลูกเบอรี่ เมล็ดถั่ว สาหร่ายทะเล เป็นต้น ไม่มีโปรตีนจากสัตว์เลย วัดพลังชีวิตจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ 84,000 หน่วย
กลุ่มคนที่กินอาหารมังสวิรัติแบบ organic หรือพืชผักอินทรีย์ แต่กินทั้งแบบสดและแบบสุก พลังชีวิตจากสนามพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในตัววัดได้ 26,000 หน่วย
และกลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์ มีพลังชีวิตเพียง 1,000 หน่วย
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพลังชีวิตของเด็กทารกด้วย เขาวัดได้ 40,000 หน่วย
ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัย Loma Linda สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ทำการวิจัยกับกลุ่มนักมังสวิรัติเป็นเวลานานถึงเจ็ดปี พบว่านักมังสวิรัติจะมีอายุยืนกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ประมาณ 15 ปี
งานวิจัยเหล่านี้ได้รับการยืนยันตอกย้ำอีกระดับหนึ่งจากโครงการสุขภาพของจีน ที่ได้ทำการวิจัยแล้วพบว่า คนจีนที่ไม่ค่อยกินอาหารเนื้อสัตว์และอาหารที่มีไขมันสูง มีความเสี่ยงน้อยต่อการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ
ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจากประเทศอังกฤษที่ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชากร 6000 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่ 5000 คนเป็นกลุ่มที่กินเนื้อสัตว์ ผลการสำรวจพบว่า 40% ของกลุ่มที่เป็นมังสวิรัติมีโอกาสน้อยมากที่จะเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง และมีเพียง 20% เท่านั้นที่จะเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยด้วยโรคอื่น ๆ
ชาวมังสวิรัติเป็นพวกที่มีพลังชีวิตสูงที่สุด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ที่ประเทศเยอรมันได้เกิดกระแสของการกินอาหารแบบ organic ขึ้น มีชาวเยอรมันจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่แสวงหาหนทางที่จะมีชีวิตและสุขภาพที่ดี พวกเขาใช้เวลา 7 - 90 วันในการทำดีท็อกซ์หรือล้างพิษ มีทั้งทำที่บ้านหรือไปทำที่ศูนย์ล้างพิษ โดยใช้น้ำเปล่าหรือน้ำมะนาวในการล้างพิษ พร้อมกับการอดอาหารหรือกินแต่น้ำผักผลไม้ไปด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ร่างกายบริสุทธิ์สะอาด และปกติจะกินแต่อาหารมังสวิรัติแบบเพียว ๆ และอาหารที่เรียกกันว่า superfood เช่น เมล็ดเก๋ากี้ ต้นอ่อนของธัญพืช ยอดใบอ่อนของข้าวบาร์เลย์ เมล็ดโกโก้ เป็นต้น โดยไม่มีเนื้อสัตว์ ไข่ นม ปลา และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่น ๆ เลย
คนเหล่านี้มีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างมาก กล่าวคือ นอนแค่วันละ 3 - 6 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว มีพลังงานเต็มเปี่ยม สมองโปร่งโล่ง การมองเห็นดีขึ้น กำลังกายฟื้นคืนขึ้นเหมือนวัยรุ่น ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ผมหงอกกลายเป็นผมดำ เบาเนื้อเบาตัว ยืดหยุ่นคล่องแคล่ว ประสาทแววไว อารมณ์ปลอดโปร่ง กล้ามเนื้อแน่น เจ็บป่วยก็หายได้โดยไม่ต้องใช้ยา หลายคนบอกว่าพวกเขารู้สึกเหมือนเป็นซุปเปอร์แมนเลยทีเดียว
ข้อดีของการกินอาหารแบบมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง
๑. ช่วยสร้างความฉลาด
ในคัมภีร์ต้าไต้หลี่จี้ (大戴礼记) กล่าวว่า "กินเนื้อจะแกร่งกล้าอาจหาญ กินธัญพืชจะฉลาดปราดเปรื่อง"
คำกล่าวข้างต้นมาจากคัมภีร์โบราณอันเก่าแก่ของจีน สนับสนุนว่าการกินอาหารมังสวิรัติจะช่วยให้มีปัญญาดีขึ้นได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับปัญญาชนในยุคนั้น
นักวิจัยของสถาบันสาธารณสุขของญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้ทำการศึกษาทัศนคติของคนในแวดวงวิชาการพบว่า คนที่เป็นนักมังสวิรัติจะมีราคะเบาบาง คนที่กินเนื้อสัตว์จะมีราคะมาก นักมังสวิรัติเป็นคนมีสติแจ่มใส คนที่กินเนื้อสัตว์จะเป็นคนมีสติขุ่นมัว นักมังสวิรัติจะมีพลังความคิดฉับไว คนที่กินเนื้อสัตว์จะมีประสาทรับรู้เชื่องช้า ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับความคิดของคนจีนโบราณที่เชื่อว่ากินมังสวิรัติแล้วจะฉลาด
ย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณ ๔๐ ปีก่อน ช่วงนั้นวงการแพทย์ค่อนข้างสนใจเรื่องการเสริมสร้างความฉลาดกันอย่างมาก เชื่อว่าต้องกินอาหารที่มีฟอสฟอรัสและกากใยให้มาก โดยมีการอ้างอิงหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าเซลล์สมองที่ขาดฟอสฟอรัสมีผลให้การทำงานของระบบประสาทช้าลง ส่วนการขาดธาตุเหล็กจะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ปวดหัว หัวใจเต้นเร็ว ขี้ลืม อ่อนเพลียง่าย เป็นต้น เด็กที่มีสุขภาวะแบบนี้ย่อมมีผลการเรียนไม่ดีแน่นอน อาหารจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการเรียน นักเรียนทั้งหลายจึงควรรู้ประโยชน์ของธาตุอาหารและการกินมังสวิรัติ
ใครก็อยากให้ตนเองเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก โดยเฉพาะนักเรียน ทุกคนอยากมีความสามารถอ่านหนังสือได้เร็วและจำได้แม่นยำ ดังนั้น เพื่อที่จะเป็นยอดมนุษย์ที่ฉลาดล้ำหน้าคนอื่น จึงต้องบำรุงสมองและร่างกาย แต่คนจีนโบราณเคยมีความเชื่ออย่างผิด ๆ มาก่อน คือเชื่อว่าร่างกายที่อ่อนแอต้องบำรุงด้วยเนื้อสัตว์ แถมยังเชื่อว่ากินตับจะช่วยบำรุงตับ กินสมองก็ต้องบำรุงสมอง สมัยก่อนวิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้านัก คนไม่รู้ว่าในสมองหมู สมองแพะ สมองวัวนั้นมีคอเลสเตอรอลสูง จึงกินกันตามความเชื่อว่าจะบำรุงสมองให้ฉลาดขึ้นได้ ทำให้ลูกหลานคนรวยจำนวนมากกลายเป็นเด็กสมองช้าปัญญาอ่อน ต่างจากลูกคนจน ๆ ที่มีกินแต่พืชผักบ้าน ๆ แต่กลับมีความฉลาดหลักแหลมมากกว่า
๒. พัฒนาจิตใจให้มีเมตตาธรรม
สำหรับมนุษยชาติ การกินอาหารมังสวิรัติมีประโยชน์อย่างยิ่งทั้งในด้านการดูแลสุขภาพและการหลีกเลี่ยงจากวิบากกรรม เป็นประโยชน์ในตนเองและขยายออกไปสู่สังคมประเทศชาติ ช่วยให้สังคมสงบสุข โลกจะมีสันติภาพมากขึ้น จะเห็นได้ว่าการกินอาหารมังสวิรัติมีประโยชน์มากมาย แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าประโยชน์สูงสุดของมังสวิรัติคือการพัฒนาจิตใจให้มีเมตตาอย่างแท้จริง
๓. ป้องกันมะเร็ง
ปัจจุบันพอพูดถึงโรคมะเร็งทุกคนก็จะเกิดความกลัวกันทั้งนั้น การสูบบุหรี่ทำให้เป็นมะเร็งปอดนั้นเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้กันหมดแล้ว แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่าเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะพวกปิ้งย่าง ก็เป็นนักฆ่าที่นำมะเร็งมาสู่เราได้เช่นกัน
จากผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า เนื้อสเต็กหนึ่งชิ้นมีสารก่อมะเร็งเท่ากับบุหรี่ 600 มวน ดังนั้น ถ้าเราไปหลงเชื่อว่าสเต็กเนื้อวัว เนื้อหมู บาร์บีคิว แฮมเบอเกอร์ มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ กินมาก ๆ จะเป็นประโยชน์ เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง มันเท่ากับการเอาสุขภาพของตนเองและญาติมิตรมาลงเดิมพันในชีวิตเลยทีเดียว เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
รายงานการวิจัยระบุว่า ขณะปิ้งย่างเนื้อสัตว์จะเกิดสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Melnylcholan threne ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอย่างร้ายแรง ในการวิจัยได้ทดลองนำสารตัวนี้ไปทาตัวหนูทดลอง มันทำให้หนูเป็นโรคมะเร็งกระดูก มะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในกระเพาะอาหาร เป็นต้น และเรื่องที่เราควรสังวรกันให้มากก็คือ เซลล์มะเร็งสามารถเติบโตได้ดีมากในผู้ป่วยที่ชอบกินเนื้อสัตว์ ไข่ ปลา และอาหารที่มีสภาพเป็นกรด ถ้าผู้ป่วยได้รับอาหารจากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เหล่านี้เป็นจำนวนมาก เลือดจะมีสภาพกลายเป็นกรด ซึ่งจะเป็นแหล่งอาศัยอันแสนสุขของเซลล์มะเร็ง มันจะแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นทวีคูณ ในทางกลับกัน ถ้าเราควบคุมความเป็นกรดในเลือดได้ กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ จะช่วยเพิ่มความเป็นด่างในเลือดได้ เซลล์มะเร็งก็จะเติบโตได้ยาก จนถึงขั้นที่ถูกควบคุมไม่ให้ขยายตัวหรือลุกลามไปได้ ยิ่งถ้าได้รับการรักษาด้วยตัวยาที่เหมาะสมด้วยแล้ว ก็จะสามารถสลายเซลล์มะเร็งที่อ่อนแอนั้นออกไปได้
เพราะฉะนั้น การป้องกันมะเร็งอย่างได้ผลไม่ใช่เรื่องพิสดารอะไร เพียงแค่เราสามารถปฏิบัติตัวด้วยการกินอาหารที่เป็นพืชผักและธัญพืช ทำให้เลือดมีความเป็นด่างอย่างเหมาะสม โรคมะเร็งร้ายก็จะไม่มาแผ้วพานเราอย่างแน่นอน
๔. ลดความอ้วน ทำให้ร่างกายได้สัดส่วน
การลดความอ้วนด้วยการกินอาหารมังสวิรัติเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด แถมยังได้สุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย ปัจจัยสำคัญอยู่ตรงที่อาหารจากพืชจะทำให้เลือดมีความเป็นด่างอ่อน ๆ ซึ่งช่วยให้ระบบการสร้างเซลล์ใหม่แทนที่เซลล์เก่าของร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลให้ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายถูกแยกสลายและเผาผลาญออกไปได้ จนกลายเป็นการลดความอ้วนไปโดยธรรมชาติ
นอกจากนี้ อาหารจากพืชหากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเหมาะสม มีการผสมผสานกันได้อย่างสมดุลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผักจำพวกถั่ว ผักที่เป็นหัว ผักใบ จะไม่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นไขมัน โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ ขณะที่อาหารจากพืชซึ่งมีแคลอรี่ต่ำจะช่วยให้ร่างกายมีน้ำหนักที่พอดี คนที่มีร่างเล็กก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีแคลอรี่เกินทำให้อ้วน เพราะฉะนั้น อาการของโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากความอ้วน เช่น ปวดเอวปวดหลัง อ่อนเพลีย หอบหืด ใจสั่น ความดันสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก เป็นต้น ก็จะหายไปจนหมด ดังนั้น การลดความอ้วนด้วยอาหารมังสวิรัติมีประโยชน์อย่างมากและไม่มีผลข้างเคียงที่เสียหายเลย ขอให้ผู้ที่เป็นทุกข์กับการพยายามลดความอ้วนทั่วโลกจงสบายใจเถิด
๕. เสริมสร้างความงามอย่างมีประสิทธิภาพ
ผิวหนังที่หยาบกร้านนั้นเกิดจากการทำลายของพิษที่ตกค้างภายในร่างกาย อาหารจากสัตว์ที่เรากินเป็นประจำ ทั้งเนื้อ ปลา ไข่ จะทำให้เลือดมีกรดยูริคและกรดแล็คติคเพิ่มขึ้น กรดแล็คติคนั้นเมื่อถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อก็จะติดอยู่บนผิวหนัง และยังคงกัดกร่อนเซลล์ที่ผิวหนังอยู่ ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น มีความรู้สึกว่าผิวหยาบกระด้างและเป็นรอยย่นหรือจุดด่างดำได้ง่าย แต่ถ้าเรากินอาหารจากพืชผักที่มีฤทธิ์เป็นด่างอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ กรดแล็คติคในเลือดจะลดลงอย่างมาก จึงไม่ก่อให้เกิดสารที่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง นอกจากนี้ เส้นใยและเกลือแร่ในอาหารพืชผักยังสามารถกำจัดสารที่เป็นอันตรายออกจากกระแสเลือดได้ด้วย เลือดที่ได้รับการทำความสะอาดแล้วนี้จะสามารถทำงานตามหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าและเผาผลาญพลังงานส่งธาตุอาหารและอ็อกซิเจนไปตามส่วนต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ แข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ผิวพรรณก็จะแข็งแรงและเปล่งปลั่ง มีความนุ่มลื่นและยืดหยุ่นดี
เคล็ดลับในการดูแลตัวเองของดาราหญิงในฮอลลีวูดหลายคนมักจะมีสูตรอยู่ข้อหนึ่งเสมอ คือในแต่ละสัปดาห์ต้องงดอาหารเนื้อสัตว์หนึ่งวัน เพราะพวกเธอต้องการให้เลือดสะอาดขึ้น และทุก ๆ วันก็พยายามกินเนื้อสัตว์ให้น้อย เห็นผิวสวย ๆ ของพวกเธอแล้ว ผู้หญิงทั้งหลายจะไม่ลองมาเสริมความงามด้วยการลองกินอาหารมังสวิรัติกันบ้างหรือ
ปัจจุบันนี้มีผู้ที่สนับสนุนการกินอาหารมังสวิรัติกันมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนกินมังสวิรัติด้วยเหตุผลทางศาสนา ในขณะที่บางคนกินเพื่อสุขภาพ แต่ก็สรุปได้ว่าการกินอาหารแบบมังสวิรัติเป็นรูปแบบไลฟ์สไตล์อย่างหนึ่งที่กลายเป็นกระแสของการรักสุขภาพในยุคนี้ไปแล้ว
เขียนโดย 佚名
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20161201/024572.htm
26 มิ.ย. 2560
ทำดีจะได้ดีเมื่อไหร่
ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เรารู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้ว ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาเป็นนักปฏิบัติธรรมที่จริงจังมาอย่างต่อเนื่อง ปกตินอกจากจะศึกษาธรรมะทุกวันแล้ว ทุกสัปดาห์ยังให้ทาน ปล่อยสัตว์อยู่เสมอ ทำกุศลอยู่เป็นประจำ เพื่อน ๆ ในกลุ่มของเราต่างชื่นชมเขามาก ผมเริ่มมาศึกษาธรรมะก็เพราะได้รับอิทธิพลจากเขานี่แหละ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราได้สนทนาปัญหาเรื่องเกิดแก่เจ็บตายกัน เขาตอบอย่างสบาย ๆ เลยว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องไปกลัวหรือหลีกหนีมันหรอก เพื่อน ๆ ในกลุ่มที่ฟังอยู่ด้วยกันต่างประทับใจกันมาก รู้สึกว่าเขามีความเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้ง และตั้งใจจะเรียนรู้ตามอย่างเขากันทั้งนั้น
ครั้งนั้นเราคุยกันสารพัดเรื่อง อภิปรายธรรมะต่าง ๆ ของศาสนาพุทธด้วยกัน เข้าถึงปัญญาหลายข้อจากธรรมะ ตอนนี้มานึกย้อนกลับไปมันเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก แต่ประมาณครึ่งปีหลังจากนั้น ผมได้ข่าวว่าเขาเลิกปฏิบัติธรรมแล้ว เขาบอกผมว่าเขาป่วยเป็นโรคร้ายแรง และจะไม่ปฏิบัติธรรมอีกแล้ว เพราะเขาปฏิบัติธรรมมาก็ไม่ได้รับผลแห่งกุศลใด ๆ เลย สุดท้ายก็ต้องมาป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาไม่หาย และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เสียชีวิต
อันที่จริง ส่วนของบุญและกุศลจะมีมาตามเหตุ ผลแห่งกุศลก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ของพืช ต่อเมื่อเราได้วางมันลงสู่ดิน ค่อย ๆ รดน้ำให้มัน มันถึงจะค่อย ๆ เจริญงอกงามขึ้น ผลดีแห่งกุศลวิบากก็เช่นกัน เราเริ่มทำจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตก่อน ค่อย ๆ พัฒนาให้เจริญขึ้นตามกาลเวลา ผลของกุศลจะสั่งสมมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผลนั้นก็จะค่อย ๆ ปรากฏให้เราเห็นได้ เวลาที่เราสงสัยว่าเราได้รับผลแห่งกุศลหรือไม่ ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าได้วางเมล็ดพันธุ์หยั่งลงในดินแล้วหรือยัง
ในปีที่เพื่อนผมเสียชีวิตนั้น ผมรู้สึกเสียใจมาก ตอนนั้นผมเองก็ได้หยุดปฏิบัติธรรมไประยะหนึ่งเหมือนกัน เพราะการตายของเพื่อนทำให้ผมเศร้ามาก แต่ช่วงนั้นเองที่ภรรยาของเพื่อนคนนี้มาบอกผมว่า "ความจริงเขาได้รับผลแห่งบุญกุศลมากมายแล้ว เพราะเขาป่วยเป็นโรคนี้มานานมาก หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่หกเดือน แต่คนในครอบครัวไม่มีใครบอกเรื่องนี้ให้เขารู้เท่านั้น" ตอนที่เขาป่วยเขามีอายุ 47 ปี เหลืออายุขัยอีกแค่ครึ่งปี แต่มาตายจริง ๆ ตอนอายุ 60 ปี
นั่นก็คือผลแห่งบุญกุศลที่เขาได้รับ เพียงแต่ผลนั้นเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเท่านั้น ดังนั้น ขอให้เราตั้งใจทำกุศลเถิด ค่อย ๆ หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งกุศลลงไป แล้ววันใดวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่เรามีความจำเป็น มันจะให้ผลแก่เราในรูปแบบต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัยอย่างแน่นอน
เขียนโดย 伴禅君
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170625/012495.htm
25 มิ.ย. 2560
ทำไมเราถึงเจอแต่คนเลวคนชั่ว
เรามักจะได้ยินผู้คนเขาบ่นกันอยู่บ่อย ๆ ว่าชีวิตต้องพบเจอแต่คนเลว ๆ เต็มไปหมด โดนคนอื่นให้ร้ายอยู่เรื่อย ๆ รู้สึกว่าจะมีแต่คนกลั่นแกล้งทำร้ายอยู่ตลอดเวลา
"ไอ้หมอนั่นก่อเรื่องอีกแล้ว หมอนี่ก็เลวซะไม่มีดี ยัยนั่นกำลังวางแผนชั่วอะไรกับเราอีกล่ะ" เรามักจะบ่นอยู่แบบนี้ไม่จบไม่สิ้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ มีหลายอย่าง มองในแง่วิบากกรรมในศาสนาพุทธ นี่คือผลของวิบากกรรมที่เราเคยทำมาในอดีต มองในแง่ของการปฏิบัติธรรม แสดงว่าเรายังพากเพียรไม่พอ จึงยังไม่เข้าใจว่าโลกนี้ยุติธรรมเสมอ หรือมองในแง่ของทัศนคติ แสดงว่าเรายังมองออกนอกตัวอยู่ ยังไม่รู้จักการมองเข้าหาตัว...
อันที่จริง ปัญหานี้ประเด็นหลักอยู่ที่ทัศนคติและการปฏิบัติของเราเอง เพราะเราติดนิสัยชอบบ่นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร มีเรื่องอะไรก็เอาแต่มองออกนอกตัว ตำหนิผู้อื่น ไม่รู้จักการมองเข้าหาตัว คิดแต่จะเปลี่ยนแปลงคนอื่นหรือเงื่อนไขภายนอก ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ความจริงแล้ว เรื่องภายนอกนั้นมันไม่เปลี่ยนหรอก มันเปลี่ยนไม่ได้ หรือจะพูดว่ามันยากที่จะเปลี่ยนก็ย่อมได้ สิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เพียงสิ่งเดียวก็คือตัวเราเองนั่นแหละ
ส่วนใหญ่เวลาที่เรารู้สึกว่าถูกให้ร้ายเราก็มักจะหาทางรับมือหรือตอบโต้ เพื่อที่จะหลุดออกมาจากสภาพที่ถูกบีบคั้นนั้น แต่ผลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ยิ่งหนีก็ยิ่งติด ยิ่งผลักก็ยิ่งถลำลึก เลยติดกับอยู่อย่างนั้นทั้งชีวิต แบบนี้ก็กลายเป็นว่าชีวิตต้องติดอยู่ในบ่วงกรรมอันเป็นอกุศลไปตลอด มัดตัวเองอยู่กับการถูกคนอื่นเข้าใจผิด ถูกคนอื่นให้ร้าย กลั่นแกล้งนานาสารพัด เหมือนติดอยู่ในหล่มโคลน ไม่สามารถพาตัวเองขึ้นมาได้
ถ้ามองในแง่ของการอยู่กับปัจจุบันแบบพุทธ ถึงแม้ว่าเราจะตกลงไปอยู่ในกับดักหรือแผนการให้ร้ายของผู้อื่นก็ตาม ก็ต้องพยายามจัดการกับปัจจุบันให้ดี จะไม่บ่น จะไม่ตัดพ้อ เสียใจ ไม่โทษฟ้าโทษดินหรือโทษผู้อื่น แต่จะพยายามทำตัวของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามเงื่อนไขของเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อันนี้ก็คือ จิตที่มีพลังตั้งมั่นสามประการ ได้แก่ ไม่เสียใจกับเรื่องในอดีต ไม่บ่นกับเรื่องในปัจจุบัน และไม่กังวลกับเรื่องในอนาคต อันเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เป็นปัญญาอันยิ่งของศาสนาพุทธ
ตามหลักของศาสนาพุทธ ทุกสิ่งล้วนยุติธรรมเสมอ ไม่มีอะไรที่เป็นโชคหรือเป็นเคราะห์เลย ที่พูดกันว่าถูกให้ร้ายปองร้าย มันเป็นแค่ใจของเราเท่านั้นที่บอกว่าไม่ยุติธรรม เพราะภายใต้สถานการณ์ที่เราเข้าใจว่าได้ถูกผู้อื่นให้ร้ายนี้ เรายังสามารถที่จะเผชิญหน้ากับมันได้ ยอมรับมันได้ กระทั่งสามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ให้ดีขึ้นได้ เช่นนี้แล้ว เคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นกลับจะกลายเป็นฐานที่ช่วยให้เราได้ปฏิบัติในการเพิ่มพูนกำลังในจิตให้ตั้งมั่นในทางที่เจริญได้ยิ่งขึ้นด้วย
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ย่อมไม่สามารถปรับตัวยอมรับสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับได้ อันนี้เป็นเรื่องปกติ มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า "ไม่มีทุกข์ใดจะเกินกลืนฝืนทน มีแต่สุขเท่านั้นที่เกินก้ำร่ำเสพ" จากการศึกษาพระธรรม เราสามารถรับมือกับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้ สามารถปรับตัวอย่างช้า ๆ จนเหตุการณ์นั้นคลี่คลาย และในที่สุดเราจะสามารถขอบคุณต่อเหตุการณ์ร้ายหรือเคราะห์ร้ายเหล่านั้นได้
ขอเพียงแค่เราตั้งทัศนคติของเราให้ถูกต้อง ปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ "คนชั่ว" หรือ "เคราะห์ร้าย" เสียใหม่ เราก็จะได้ประโยชน์จากเคราะห์ร้ายนั้นได้ ขอให้เราพยายามที่จะเผชิญกับมันให้ได้ ก็จะพลิกกลับจากการเป็นเบี้ยล่างผู้ถูกกระทำมาเป็นนายของสถานการณ์ได้ เปลี่ยนจากภาวะตัดพ้อมาเป็นรู้สึกขอบคุณต่อเหตุการณ์นั้นได้ นี่ก็คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นนายของตนเอง เป็นที่พึ่งของตนเองให้ได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรารู้สึกว่ากำลังถูกผู้อื่นให้ร้าย ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องบ่นหรือตัดพ้อต่อว่าใครทั้งสิ้น และต้องไม่ไปตอบโต้เขาด้วย เรามีศักยภาพเต็มที่ที่จะอาศัยกำลังของตนเองในการเผชิญกับมัน ยอมรับและปรับปรุงมันให้ดีขึ้น สิ่งนี้เป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งในการเผชิญชีวิตอย่างถูกต้อง เป็นที่มาของความรู้สึกขอบคุณต่อโลก เป็นการปฏิบัติอย่างให้อภัยต่อโลก และเป็นการแบ่งปันผลสำเร็จของการปฏิบัติได้จริง ๆ ให้แก่โลกด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือ เมื่อต้องเผชิญกับเคราะห์ร้ายหรือความทุกข์ใด ๆ หนทางที่ดีที่สุดในการรับมือคือทำให้มันเป็นโจทย์ที่เราต้องพยายามแก้ให้ได้ ตั้งจิตให้มั่น ตั้งใจปฏิบัติตนภายใต้เงื่อนไขของเคราะห์ร้ายที่เกิดนี้ ควบคุมจัดการกับปัจจุบันของเราเองและพากเพียรพยายามปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ให้จงได้
เขียนโดย 明一法师
ที่มา http://foxue.qq.com/a/20170615/032958.htm
หมายเหตุ แปลเอาความตามความเข้าใจของผู้แปลเท่านั้น อาจไม่ตรงกับต้นฉบับร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตั้งใจสื่อประเด็นสำคัญของเรื่องก็คือ โลกนี้ยุติธรรมเสมอ สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหลายล้วนมีเหตุจากวิบากกรรมที่เราเคยทำมาทั้งสิ้น ทั้งในชาตินี้และชาติก่อน ๆ การโทษผู้อื่นว่าทำผิดต่อเรานอกจากจะเป็นการไม่ยอมรับความจริงแล้ว ยังเป็นการสร้างวิบากกรรมใหม่ให้แก่ตนเองอีกด้วย
23 มิ.ย. 2560
เหตุใดเราจึงควรฝึกกินอย่างพระบ้าง
ในประเทศจีน แม้ว่าศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาที่มีคนนับถือไม่มากนัก แต่ความรู้เรื่องอาหารการกินในศาสนาพุทธก็เป็นเรื่องน่าศึกษาเรียนรู้ อย่างเช่น การปฏิบัติที่เรียกว่า "ไม่กินอาหารหลังเที่ยง" และ "การกินอาหารมังสวิรัติ" เป็นต้น
การไม่กินอาหารหลังเที่ยงหรือไม่กินอาหารนอกเวลาที่กำหนด ตามพระวินัยกำหนดให้ภิกษุฉันอาหารภายในกำหนดเวลา คือตั้งแต่รุ่งเช้าจนถึงเที่ยง การฉันอาหารหลังเวลาเที่ยงวันถือว่าฉันอาหารนอกเวลาที่กำหนด ผิดข้อบัญญัติตามพระวินัย ในพระคัมภีร์มีคำอธิบายถึงสาเหตุของการตั้งบัญญัติข้อนี้ไว้หลายแห่ง ตัวอย่างเช่น ในสมัยก่อนมีภิกษุบางรูปออกบิณฑบาตยามค่ำ ในความมืดมีหญิงตั้งครรภ์คิดว่าภิกษุนั้นเป็นผีจึงตกใจกลัวจนแท้งลูก พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติห้ามบิณฑบาตยามค่ำ
อีกเหตุผลหนึ่งที่อ้างกันมาก็คือ ในศาสนาพุทธเวลาก่อนเที่ยงเป็นเวลาถวายอาหารสำหรับพระ เวลาหลังเที่ยงเป็นเวลาให้อาหารสำหรับผี ดังนั้น ในกลุ่มประเทศอาเซียน ภิกษุในศาสนาพุทธจะฉันอาหารเพียงสองมื้อ คือหลังลุกจากที่นอนหนึ่งมื้อและเวลาเที่ยงวันอีกหนึ่งมื้อ พ้นจากเที่ยงวันไปแล้วจะไม่ฉันอาหารอีก แต่ในประเทศจีน พระในวัดพุทธที่อยู่ในเขตของวัฒนธรรมชาวฮั่น นอกจากต้องท่องสวดธรรมบทแล้วยังต้องทำการเพาะปลูกด้วย จึงยังจำเป็นต้องฉันอาหารเล็กน้อยในยามค่ำ แต่อาหารมื้อนี้ถูกเรียกว่า "อาหารโอสถ" (药食) ความหมายของชื่อนี้เป็นการเตือนสติภิกษุว่าไม่ควรมีกิเลสในอาหาร มื้อค่ำนี้จึงเป็นการกินเพียงเพื่อเป็นยาประทังความหิวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มีวัดหลายแห่งก็ถือปฏิบัติไม่ฉันอาหารหลังเที่ยงเช่นกัน ส่วนชาวพุทธที่เป็นฆราวาส หากถือศีลแปด อย่างน้อยในแต่ละเดือนต้องถือปฏิบัติไม่กินอาหารหลังเที่ยงสักหนึ่งวัน
อันที่จริง การกินอาหารวันละสามมื้อของคนทั่วไปนั้นเป็นเพียงความเคยชินเท่านั้น ถ้าเราเริ่มปฏิบัติกินสองมื้อแล้ว อาจจะรู้สึกลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อปฏิบัติไปได้ระยะหนึ่ง ทั้งร่างกายและความรู้สึกก็จะค่อย ๆ ปรับตัวได้เอง ถึงตอนนั้นก็จะไม่ค่อยรู้สึกหิวแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ในทางการแพทย์ การกินอาหารน้อยและอดอาหารเป็นเวลาสั้น ๆ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งนี้เพราะสมองซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำงานมากที่สุดในระบบเผาผลาญพลังงาน ระดับการเผาผลาญออกซิเจนที่สมองเท่ากับร้อยละ 20 ของทั้งร่างกาย ดังนั้น ถ้าเรากินอาหารมากเกินไป ออกซิเจนจำนวนมากก็จะถูกดึงไปใช้ในการย่อยอาหารในกระเพาะ จนกระทั่งออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองมีไม่เพียงพอ ก็จะเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน
เรื่องนี้ แม้ขงจื๊อยังได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ The Analects (论语) ว่า "กินอาหารขออย่าให้ถึงขั้นอิ่ม" หรือจวงจื๊อก็กล่าวว่า "ลดอาหารเพื่อถนอมกระเพาะ เพิ่มการอ่านเพื่อหล่อเลี้ยงความกล้าหาญ" และในคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง (黄帝内经) ซึ่งเป็นตำราการแพทย์แผนจีนเล่มแรกมีบันทึกไว้ว่า กินอาหารมากไปจะทำให้กระเพาะและสำไส้เสื่อม หรือกินอาหารต้องรู้จักประมาณ ที่สำคัญคืออย่ากินให้มากเกินไป
นอกจากนี้ ในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ของคนเราจะมีกากอาหารและแบคทีเรียอยู่มาก ถ้าเราไม่กินอาหารเป็นเวลาสิบกว่าชั่วโมง สิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ก็จะถูกขับออกไปได้ง่าย ร่างกายก็จะไม่ป่วยง่าย ในทางกลับกัน หากเรากินอาหารมากเกินไป จะกลายเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบการย่อยและการเผาผลาญ ทำให้กระเพาะลำไส้ หัวใจ ตับและถุงน้ำดีไม่ได้หยุดพัก เกิดผลกระทบไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้น สำหรับชาวพุทธที่เป็นฆราวาสหรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้เป็นชาวพุทธก็ตาม อาจจะไม่จำเป็นต้องลดหรืองดอาหารอย่างพระ แต่การลองฝึกไม่กินอาหารหลังเวลาเที่ยงหรือกินให้น้อย ก็จะมีส่วนช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแน่ ๆ
อีกเรื่องหนึ่งคือการกินอาหารมังสวิรัติ ซึ่งเป็นการกินอาหารรูปแบบหนึ่งที่จะไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าสัตว์บก สัตว์ปีก สัตว์น้ำ หรือสัตว์ทุกชนิด ทั้งนี้เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้มีใจเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง บัญญัติศีลข้อห้ามการฆ่าขึ้นมาเพื่อปกป้องชีวิตสัตว์ทั้งสิ้น ละเว้นการฆ่าก็คือการปฏิบัติจิตเพื่อเข้าสู่ความเมตตา ศาสนาพุทธจึงสนับสนุนการกินมังสวิรัติ
ในสังคมปัจจุบัน คนสมัยนี้หันมากินอาหารมังสวิรัติกันมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เป็นชาวมังสวิรัติรุ่นใหม่ก็มีแนวโน้มที่มีอายุน้อยลง มังสวิรัติไม่ใช่แค่เรื่องของศาสนาอีกต่อไป นักมังสวิรัติจำนวนมากก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าได้บรรลุธรรมขั้นสูงแต่อย่างใด พวกเขาเลือกที่จะกินอาหารมังสวิรัติก็เป็นการเลือกรูปแบบของการกินอาหารอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เคารพชีวิตสัตว์อื่น รักษาสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับกฎธรรมชาติ ดังนั้น การกินอาหารมังสวิรัติจึงค่อย ๆ กลายเป็นเทรนด์อย่างหนึ่งในสังคมสมัยใหม่นี้
เขียนโดย 广行法师
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170316/031845.htm
21 มิ.ย. 2560
ผู้เข้าใจเรื่องกรรมจะไม่เอาเปรียบผู้อื่น
คนที่เข้าใจเรื่องกรรมจะไม่เห็นแก่การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเลย เพราะเขารู้ว่าการเอาเปรียบนั้นจะต้องชดใช้อย่างน่ากลัวในภายหลัง
ผู้ที่เข้าใจและเชื่อเรื่องกรรมมักจะเป็นผู้ที่ยอมขาดทุน ยอมเสียประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เพราะเขารู้ว่าการฝึกยอมขาดทุนจะให้ประโยชน์แก่ตนอย่างมากในภายภาคหน้า การฝึกเสียเปรียบไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้อื่นยินดี ยังเป็นโอกาสในการฝึกฝนความอดทนและความเมตตาอีกด้วย ดังนั้น การขาดทุนก็คือกำไร การขาดทุนในวันนี้จะต้องได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน
ถ้าเราพิจารณาเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งก็จะรู้ได้อย่างชัดเจน โลกนี้มีใครเอาเปรียบใครได้ไหม ไม่มีหรอก มีใครเสียเปรียบใครได้ไหม ก็ไม่มีเช่นกัน ทำไมน่ะหรือ เพราะเราทุกคนต้องใช้หนี้ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต หนี้สินต้องใช้คืนด้วยทรัพย์ และหนี้กรรมจะติดตามไปทั้งโลกนี้โลกหน้า
อันที่จริง คนที่รังแกผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น เขาไม่เข้าใจเรื่องผลของกรรม ถ้าเข้าใจเรื่องกรรมอย่างแจ่มแจ้งแล้ว จะไม่กล้าทำเรื่องแบบนั้นเลย เพราะเขาจะต้องชดใช้ทั้งหมด
คุณฆ่าเขา คุณทำร้ายเขา แย่งชิงสมบัติของเขามา เขาจะคิดแค้นพยาบาท เขาจะติดตามคุณ เขาจะต้องทวงเอาสมบัติคืนมาให้ได้จึงจะพอใจ
ทวงคืนอย่างไรล่ะ ก็จะไปเกิดในครอบครัวคุณ เกิดเป็นลูกเป็นหลานของคุณ สมบัติที่คุณแย่งมาจากเขา สุดท้ายคุณก็ต้องคืนให้เขาทั้งหมด และถ้าคุณไปฆ่าเขาด้วย เขาก็จะฆ่าคุณเช่นกัน
ผลแห่งกรรมชาติแล้วชาติเล่า วนเวียนไม่มีสิ้นสุด เป็นสัจจะแห่งวัฏสงสาร เป็นเรื่องที่เราต้องรู้ให้ได้ เมื่อรู้แล้วจึงจะสามารถล้างให้สิ้นเกลี้ยงได้
การที่เราถูกใส่ร้าย ถูกดูหมิ่น ถูกปองร้าย ถูกขัดขวาง เรามองปัญหาเหล่านี้อย่างไร
ในชาติก่อนเราทำกับเขามาอย่างนี้ ในชาตินี้เขาก็กลับมาทำกับเราอย่างเดียวกัน ทำมาเท่าไรก็ต้องใช้คืนเท่านั้น ยอมรับด้วยความเต็มใจ หนี้ก้อนนี้ก็ถือว่าใช้หมดแล้ว
เมื่อเราไม่มีความพยาบาทอีก เราจะไม่คิดแก้แค้นคุณอีก หนี้ที่เรามีต่อกันก็จะสิ้นสุดอยู่ตรงนี้ ถ้าเจอกันอีกในชาติหน้า ก็มีแต่ความยินดีต่อกัน แบบนี้ดีกว่าเยอะ จงอย่าคิดแค้น ถ้าเราคิดแค้น ชาติหน้าเราก็ต้องไปแก้แค้นเขา และชาติต่อไปเขาก็กลับมาแก้แค้นเราอีก แค้นกันไปแค้นกันมาข้ามภพข้ามชาติ มันทุกข์ทั้งสองฝ่าย สู้เรายอมอดทนรับความทุกข์เสียตอนนี้ แล้วปิดบัญชีหนี้แค้นเสีย แบบนี้มันเป็นอิสระกว่าเยอะ
ในนิพพานสูตรกล่าวว่า "ผู้ที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่ากุศลกรรมย่อมให้ผลเป็นกุศล อกุศลกรรมย่อมให้ผลเป็นอกุศล ก็จะไม่ยอมประกอบอกุศลกรรมอีกเลย"
ที่มา http://rufodao.qq.com/a/20170619/016168.htm
เขียนโดย 释永信 วัดเส้าหลิน
หมายเหตุ ขาดทุนคือกำไร ตรงกับพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ทำไมผมจึงเลิกกินเนื้อสัตว์
วันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๘ เวลาประมาณบ่ายโมง ผมกุมมือแม่อยู่ข้างเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล พร่ำพูดที่ข้างหูของแม่ว่าให้นึกถึงความดี...
-
โลกเรานี้ยังมีชนเผ่าที่แปลก ๆ อยู่ไม่น้อยเลย หลาย ๆ ชนเผ่ามีเอกลักษณ์ที่ประหลาดพิสดารอย่างเหลือเชื่อ เช่น มีชนเผ่าหนึ่งอยู่บนเกา...
-
ถั่วลิสงเป็นอาหารที่คนจีนนิยมกินกันมาแต่โบราณ ว่ากันว่า การกินถั่วลิสงสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและป้องกันโรคหัวใจ...
-
ใกล้จะครบสามเดือนแล้วที่ฉันได้เลิกกินเนื้อสัตว์ บางคนคิดว่าฉันเลิกเนื้อสัตว์เพื่อรักษาสุขภาพ บางคนก็คิดว่าฉันต้องการรักษารูปร่าง...